ข่าวเที่ยงครึ่ง
+++ ศาลอาญา อ่านคำพิพากษา ศาลฎีกา คดีที่อัยการ เป็นโจทก์ฟ้องนายจงอาชว์ โพธิสุนทร อดีตอธิบดีกรมเจ้าท่า และพวก ในคดี ทุจริตจัดซื้อจัดจ้างเรือขุดหัวสว่านของบริษัท เอลลิคอตต์ แมชชิน คอร์ปอเรชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ประเทศสหรัฐอเมริกา มูลค่ากว่า 2 พันล้านบาท เหตุเกิดเมื่อปี 2540 โดยศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า นายจงอาชว์ ได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญาการจ่ายเงินงวดที่ 5 ให้กับบริษัทผู้ขายตามข้อเสนอของผู้ขาย โดยแบ่งจ่ายเงิน 3 งวดย่อย ซึ่งเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทผู้ขาย ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของทางราชการ และแม้บริษัทผู้ขายจะส่ง ท่อทุ่น และเรือพี่เลี้ยงมาให้ ก็ไม่เป็นไปตามสัญญา และไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ตามสัญญาด้วย ส่วนจำเลยที่ 2 ถึง 7 ซึ่งรู้อยู่แล้วว่าบริษัทผู้ขายไม่สามารถส่งเรือขุด ได้ตามกำหนด แต่ก็ยังตรวจรับงานและเสนอให้นางจงอาชว์ เปลี่ยนแปลงสัญญางวดที่ 5 และเซ็นอนุมัติ ซึ่งถือว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทผู้ขาย ด้วย มีความผิดฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 แต่ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น และฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยบางส่วน มีเหตุให้ปราณีโทษให้เบาลง พิพากษาแก้ จำคุกนายจงอาชว์ และจำเลยร่วมทั้งหมด รวม 7 คน คนละ 2 ปี ภายหลังศาลฎีกาพิพากษา ญาติของจำเลย ได้ร่ำให้ภายในห้องพิจารณาคดี และเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ ได้ควบคุมตัวจำเลยทั้ง 7 คน ลงไปควบคุมที่ห้องขังด้านล่างของศาลอาญาทันที
++++ตั้งแต่ช่วงเช้าวันนี้ ผู้ค้าลอตเตอรี่รายย่อย กว่า 500 คน ที่มาซื้อสลากจากยี่ปั๊วหรือตลาดลอตเตอรี่ อำเภอวังสะพุง ได้รวมตัวปิดถนนสายมะลิวัลย์ กม ที่ 21 ทำให้รถบนถนนติดกว่า 3 ชั่วโมง เพื่อเรียกร้อง ถึงการไปจองลอตเตอรี่ จากตู้เอทีเอ็ม และไม่สามารถทำรายการได้ หรือการจอง ซื้อ สำเร็จ ทำให้ ผู้ค้าลอตเตอรี่จำนวนมากหลายพันคน ในจังหวัดเลย ที่เป็นผู้ค้าสลากจริงไม่สามารถ จองและซื้อสลากได้ จนวันนี้ต้องมาซื้อจาก ผู้ขายคนกลาง หรือยี่ปั๊ว ที่ตลาดสหกรณ์การเกษตรวังสะพุง และตลาดตระกูลเศรษฐี และในวันนี้มีการจำหน่ายในราคาที่สูง ถึง 79.50 บาท ต่อมา นายวิโรจน์ จิวะรังสรรค์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย ได้เข้าไปเจรจาจับผู้จำหน่ายคนกลางหรือยี่ปั๊วเพื่อขอซื้อในราคาที่ถูกกว่านี้ และให้ผู้ชุมนุมทุกคนนั้น มาลงชื่อเพื่อจะให้รับการแก้ปัญหา ต่อมา ผู้ประท้วงได้มีการเปิดถนน ให้รถสามารถสัญจรได้ตามปกติแล้ว
+++พรรคเพื่อไทย ออกแถลงการณ์ 6 ข้อ ย้ำ ให้หัวหน้า คสช.ยกเลิกคำสั่งคุ้มครอง จนท.บริหารจัดการและเรียกร้องค่าเสียหายโครงการจำนำข้าว อ้าง ไม่ปรองดอง เป็นการตัดโอกาสเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม เลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม
+++กระแสสื่อออนโลน์ ออกมาตำแหน่งแอร์ไลออนแอร์ ทำเกิดกว่าเหตุ กรณีหนุ่มรถไฟแซวเรื่องระเบิด ล่าสุด เพจเฟซบุ๊ก "Crewabs Cabincrew"สถาบันติวสอบแอร์โฮสเตส - สจ๊วต ได้โพสต์ข้อความอ้างว่า แอร์โฮสเตสสายการบินไลอ้อนแอร์ที่ตกเป็นข่าวถูก นายพิชิต บุญแดง พนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทย แซวว่ามีระเบิดซุกในกระเป๋า เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ว่า เครียด กลัวจะทำให้คู่กรณีและครอบครัวลำบาก แต่เรื่องจริงที่เกิดขึ้น ไม่ได้เป็นอย่างที่หลายคนคิด เนื่องจากตอนนั้นชายหนุ่มได้ขู่ว่ามีระเบิดในกระเป๋าด้วยหน้าที่นิ่งและน้ำเสียงจริงจัง แม้ตักเตือนแล้วก็ยังไม่มีการปฏิเสธ ซ้ำเมื่อมีพนักงานเข้าไปถามย้ำถึง 2 รอบ ก็ยังพูดคำเดิมว่า "มีระเบิด" โดยไม่มีท่าทีจีบแอร์ฯเลย
+++สำนักงานด้านความปลอดภัยการจราจรทางหลวงแห่งชาติสหรัฐ (เอ็นเอชทีเอสเอ) มีคำสั่งเมื่อวันอังคาร ให้ปรับบริษัททาคาตะ ผู้ผลิตถุงลมนิรภัยในรถยนต์รายใหญ่จากญี่ปุ่น 70 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2,486 ล้านบาท) จากการปกปิดหลักฐานไม่แจ้งต่อ เอ็นเอชทีเอสเอ ถึงความเสี่ยงที่ถุงลมนิรภัยอาจเกิดการระเบิด นอกจากนี้ยังมีคำสั่งให้ระงับการผลิตส่วนอุปกรณ์สูบลมภายในที่ใช้แอมโมเนียมไนเตรตเป็นส่วนประกอบ จนกว่าบริษัทจะสามารถพิสูจน์ได้ว่าอุปกรณ์ดังกล่าวปลอดภัย ซึ่งกระทรวงคมนาคมสหรัฐกำหนดกรอบเวลา 3 - 4 ปี ให้บริษัททาคาตะพิสูจน์ถึงความปลอดภัย รวมทั้งระบุถึงสาเหตุที่แท้จริงของการระเบิดของถุงลมนิรภัยซึ่งเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 8 ราย และบาดเจ็บกว่า 100 ราย ในสหรัฐ โดยส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บจากเศษโลหะที่เป็นผลจากการระเบิด ทำให้เกิดบาดแผลรุนแรงบริเวณลำคอ ใบหน้า ขณะที่บางรายรุนแรงถึงขั้นสูญเสียการได้ยินและการมองเห็น ตามข้อกำหนดของ เอ็นเอชทีเอสเอ ผู้ผลิตต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ภายใน 5 วัน เมื่อมีการตรวจพบความผิดพลาดในอุปกรณ์
+++นายชิเงฮิสะ ทาคาดะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของทาคาดะ ออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจต่อความผิดพลาดที่เกิดและยินยอมปฏิบัติตามคำสั่งของ เอ็นเอชทีเอสเอ ในการระงับการผลิตภายในปี 2561 และจะผ่อนชำระค่าปรับเป็น 6 งวด จนถึงเดือน ต.ค. 2563 ซึ่งบริษัทอาจถูกปรับเพิ่มอีก 130 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4,617 ล้านบาท) หากไม่สามารถปฏิบัติตามคำสั่งหรือมีการตรวจพบการละเมิดมาตรการด้านความปลอดภัยเพิ่มเติม ทั้งนี้ ฮอนด้า ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลกจากญี่ปุ่น ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของทาคาตะ เผยว่า ได้มีการเรียกคืนรถยนต์ราว 6.3 ล้านคันทั่วสหรัฐ และทำการแก้ไขเปลี่ยนอะไหล่อุปกรณ์แล้วราวร้อยละ 40 โดยบริษัทยังระบุว่าจะไม่มีการใช้สินค้าจากทาคาตะอีกในอนาคตสำหรับส่วนของถุงลมคู่หน้า