การบริหารจัดการน้ำ นายสุเทพ น้อยไพโรจน์ อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูแล้งตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา สำหรับลุ่มเจ้าพระยา 22 จังหวัด ซึ่งใช้น้ำจาก 4 เขื่อนหลัก คือ เขื่อนภูมิพล สิริกิติ์ แควน้อยบำรุงแดน และป่าสักชลสิทธ์ ปริมาณน้ำใช้การได้ของทั้ง 4 เขื่อน รวม 4,200 ล้านลูกบาศก์เมตร สามารถระบายใช้เพื่ออุปโภคบริโภค รักษาแนวตลิ่ง ผลักดันน้ำเค็มได้วันละ 15 ล้านลูกบาศก์เมตร ปริมาณน้ำที่เก็บกักได้เพิ่มขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้สามารถจัดสรรไปเลี้ยงไม้ผล พืชไร่ที่ปลูกไว้ ได้แก่ อ้อย และพืชใช้น้ำน้อยบางพื้นที่ได้ แต่ไม่เพียงพอทำนารอบ 2 แน่นอน โดยที่นาลุ่มเจ้าพระยามีประมาณ 7.5 ล้านไร่ มีเกษตรกรทำนารอบ 2 ต่อเนื่องหลังเก็บเกี่ยวข้าวนาปีไปแล้ว 1.8 ล้านไร่ ซึ่งมีพื้นที่เสียหายจากภาวะภัยแล้งไปแล้ว 22,000 ไร่ จากการสำรวจยังพบว่ามีชาวนาทยอยทำนาปรัง ซึ่งเจ้าหน้าที่กรมชลประทานจะเข้าไปทำความเข้าใจถึงสถานการณ์น้ำน้อยที่รุนแรงในปีนี้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งนาของเกษตรกรจะเสียหายได้
ส่วนการบริหารจัดการน้ำบริเวณหน้าเขื่อนเจ้าพระยา ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการบริหารจัดการทั้งลุ่มน้ำจะต้องให้น้ำบริเวณหน้าเขื่อนสูงพอที่จะมีน้ำไหลเข้าสู่คลองชัยนาท-ป่าสัก แม่น้ำน้อย และคลองอื่น ๆ ในระบบชลประทานเพื่อการอุปโภคบริโภค และอีกส่วนหนึ่งระบายลงมาท้ายน้ำเพื่อผลักดันน้ำเค็ม และจะต้องสอบน้ำที่ไหลผ่านตามจุดต่าง ๆ ว่า หายไปจากระบบหรือไม่ หากหายเป็นไปได้ว่าถูกลักลอบสูบไปทำการเกษตร ซึ่งจะประสานกับฝ่ายปกครองและทหารมาทำความเข้าใจกับผู้ที่กระทำการดังกล่าว