เมืองไทยฯ(1):เสนอขยายเวลาใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากการลงทุนแอลทีเอฟ/ราคาเหล็กในประเทศตกต่ำ/สปท.ตั้งกมธ.11คณะ

03 พฤศจิกายน 2558, 07:18น.


การประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้ กระทรวงการคลังจะเสนอขยายระยะเวลาการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีบุคคลธรรมดา สำหรับการซื้อกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) จากเดิมที่จะสิ้นสุดการ ลดหย่อนในปี 2559 โดยให้ขยายเวลาใช้สิทธิออกไปอีก 3 ปี เพื่อไม่ให้กระทบกับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ แต่มีการปรับเงื่อนไขการถือครองว่า จะต้องถือครองหน่วยลงทุนให้ครบ 5 ปีเต็ม จากเดิมจะนับตามปีปฏิทิน ซึ่งสามารถซื้อในช่วงสิ้นปีที่ 1 และขายในช่วงต้นปีที่ 5 ได้ หรือมีการเรียกการถือครองแบบนี้ว่า 3 ปี 2 วัน



ส่วนกรมธนารักษ์จะสรุปค่าเช่า-ค่าธรรมเนียมที่ราชพัสดุเขตเศรษฐกิจพิเศษ นำเสนอ ครม. โดยค่าธรรมเนียมสูงสุดอยู่ในพื้นที่ จ.สงขลาคือ 6 แสนบาทต่อไร่ ต่อระยะเวลาการเช่า 50 ปี ส่วนต่ำที่สุดอยู่ในพื้นที่ จ.ตราด 320,000 บาทต่อไร่



เมื่อวานนี้ นายวีรศักดิ์ ชัยสุพัฒน์ นายกสมาคมผู้ผลิตท่อโลหะและแปรรูปเหล็กแผ่น พร้อมกับตัวแทนสมาคมผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กไทย ยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผ่านศูนย์รับเรื่องร้องเรียน ที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) เพื่อขอให้รัฐบาลออกมาตรการคุ้มครองและส่งเสริมการใช้สินค้าเหล็กภายในประเทศ  และในวันนี้ จะมีตัวแทนกลุ่มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กไทยหารือกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เพื่อแก้ไขปัญหาราคาเหล็กในประเทศตกต่ำ เนื่องจากตั้งแต่ต้นปีมีการนำเข้าเหล็กทั้งมีคุณภาพและด้อยคุณภาพจากจีนเป็นจำนวนมากถึง 9,600,000 ตัน มูลค่ากว่า 380,000 ล้านบาท



ซึ่งภายในเดือนนี้ กระทรวงคมนาคมจะนำเสนอโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า 2 สาย วงเงินรวม 201,832 ล้านบาท เข้าสู่ที่ประชุม คือสายสีส้ม ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี ระยะทาง 21.2 กิโลเมตร วงเงิน 110,116 ล้านบาท และสายสีม่วงใต้ เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ ระยะทาง 23.6 กิโลเมตร วงเงิน 91,716 ล้านบาท



โดยรถไฟฟ้าสายสีส้ม ล่าสุดอยู่ระหว่างรอความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการนำเสนอ ครม. ส่วนสายสีม่วงใต้อยู่ระหว่างรอเสนอคณะกรรมการ (บอร์ด) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)



ในการประชุมสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เมื่อวานนี้ เป็นการอภิปราย เพื่อหาแนวทางการปฏิรูปการเมือง ซึ่งพล.อ.เอกชัย ศรีวิลาส อดีตรองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ปฏิรูปการเมืองคนที่สอง และอดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) นำเสนอแนวทางการทำงานที่ผ่านมาของ สปช. 4 ด้าน คือ ปฏิรูปพรรคการเมือง ปฏิรูปการเลือกตั้ง ปฏิรูปการเรียนรู้และการมีส่วนร่วมของประชาชน ปฏิรูปองค์กรอิสระจากนั้นจึงเป็นการอภิปรายของสมาชิกสปท. และรวบรวมความเห็นทั้งที่เป็นเอกสารและการอภิปรายเรื่องการปฏิรูปการเมือง เสนอคณะกรรมาธิการปฏิรูปการเมืองต่อไป



นอกจากนี้ที่ประชุมยังมีวาระพิจารณาร่างข้อบังคับการประชุม สปท. ตามที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างข้อบังคับฯ ที่มีนายเสรี สุวรรณภานนท์ เป็นประธาน พิจารณาเสร็จแล้ว โดยมีทั้งสิ้น 104 ข้อ แบ่งเป็น 7 หมวด สาระสำคัญ คือ กำหนดให้มีกมธ.สามัญขับเคลื่อนการปฏิรูป 11 คณะ มีจำนวน 11-23 คน สมาชิก สปท.สามารถเป็น กมธ.ได้เพียงคณะเดียว ให้ประธาน กมธ.แต่ละคณะมาจากการแต่งตั้งของประธาน สปท.



ส่วน กมธ.วิสามัญมี 2 คณะ คือ กมธ.วิสามัญขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ และ กมธ.วิสามัญกิจการสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (วิปสปท.)



นอกจากนี้ยังให้มี คณะกรรมการประสานงานการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (วิปแม่น้ำ 5 สาย) เพื่อให้ สปท.ร่วมประสานงานกับ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คณะรัฐมนตรี (ครม.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งกำหนดว่า หากสมาชิก สปท.ขาดลงมติเกิน 1 ใน 3 ของจำนวนการประชุมรอบ 90 วัน โดยไม่มีใบลา ก็จะขาดสมาชิกภาพ สปท.ทันที



ด้านนายจักรกฤศฏ์ พาราพันธกุล อธิบดีกรมธนารักษ์ กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดสรรพื้นที่ราชพัสดุเพื่อทำโครงการบ้านเพื่อผู้มีรายได้น้อยว่า สามารถรวบรวมพื้นที่จากทั่วประเทศได้มากกว่า 2 หมื่นไร่ และอยู่ระหว่างการตรวจสอบความเหมาะสมของพื้นที่สำหรับที่อยู่อาศัย เชิงพาณิชย์ และประโยชน์สาธารณะ แต่ไม่มีพื้นที่ราชพัสดุในพื้นที่ กทม.ที่จะพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัยตามโครงการได้ จึงจะมีการหารือกับผู้ประกอบการภาคอสังหาริมทรัพย์อีกครั้งว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป



ส่วนเรื่องที่มีการใช้คำสั่งของหัวหน้า คสช. เพื่อระบายข้าวในสต๊อกของรัฐบาล พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เป็นคนละประเด็นกับการดำเนินคดีผู้กระทำผิด เนื่องจากยังมีข้าวจากโครงการรับจำนำข้าวเปลือกค้างในโกดังทั่วประเทศเป็นปริมาณมหาศาล ซึ่งเป็นภาระค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษา และจะถูกกดราคาหากเก็บไว้นานกว่านี้ ทั้งพบว่า การระบายข้าวมีปัญหาหลายด้าน เช่น บางคลังมีข้าวล้มกองจำเป็นต้องจำหน่ายเหมาคลัง ซึ่งอาจมีข้าวใช้ได้ปะปนอยู่บ้าง กับยังมีคดีที่เกี่ยวข้องกับการระบายข้าวหลายคดี ราคาข้าวที่จะระบายออกไปยังมีราคาที่ต่างจากราคารับจำนำค่อนข้างมากเพราะเป็นข้าวเสื่อมสภาพ ทำให้ผู้ปฏิบัติงานไม่กล้าตัดสินใจและหาผู้ปฏิบัติงานได้ยาก ดังนั้น คำสั่งของหัวหน้า คสช. จะช่วยคุ้มครองผู้ปฏิบัติงานทั้งคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว คณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว เจ้าหน้าที่ภาครัฐ ภาคเอกชน และอีกหลายส่วนที่ปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตให้เกิดความมั่นใจมากขึ้น และป้องกันการถูกกล่าวหาว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อน



ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นหลักปกติเพื่อย้ำให้รู้ว่าถ้าสุจริตจะได้รับการคุ้มครอง คือต้องทำตามหน้าที่ ซึ่งที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่มีความกังวลเรื่องการฟ้องร้อง



*-*

ข่าวทั้งหมด

X