*ผู้ว่าททท.เร่งหาแหล่งท่องเที่ยวใหม่แก้ปัญหากระจุกทัวร์ ยกภูทับเบิกกรณีศึกษา*

การกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ เพื่อลดความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ททท. กำลังเร่งกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ และกระจายการท่องเที่ยวไปยังเมืองต่างๆ มากขึ้น ไม่ให้กระจุกตัวอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ในอดีตการท่องเที่ยวในประเทศไทยกระจุกตัวอยู่ไม่กี่เมือง เช่น เชียงใหม่ เชียงราย ชลบุรี ภูเก็ต ฯลฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ภูทับเบิก จ.เพชรบูรณ์ ที่กำลังเป็นกระแสความแออัดของนักท่องเที่ยวอยู่ในขณะนี้ โดยมองว่า กรณีของภูทับเบิก เป็นกรณีศึกษา เพื่อไม่ให้เกิดขึ้นกับแหล่งท่องเที่ยวอื่น และคิดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นกับภูทับเบิก อาจมาจากการขาดการบูรณาการเรื่องการทำงาน ซึ่งในแต่ละจังหวัดจะมีแผนการพัฒนาที่ดิน แต่อาจจะไม่ต่อเนื่องกัน ซึ่งการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ จะต้องมอบหมายให้แต่ละหน่วยงานช่วยกันดูแล เพราะเมื่อมีนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก ปัญหาที่ตามมา คือปัญหารถติด ค่าครองชีพสูงขึ้น และปัญหาขยะ จะต้องให้สำนักงานในแต่ละท้องที่ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

ส่วนการกระตุ้นการท่องเที่ยวให้ไปยังเมืองรอง จะเป็นการกระจายรายได้เป็นอย่างดี โดยหวังว่าโครงการนี้จะช่วยเพิ่มรายได้การท่องเที่ยวได้กว่าร้อยละ 20  ซึ่งขณะนี้ ทุกจังหวัดกำลังตื่นตัวมาก และมีการหาจุดเด่นในแต่ละแห่งเพื่อเป็นจุดขาย และสิ่งที่ททท. จะต้องเน้นย้ำกับทุกจังหวัด 3  ข้อ คือ การท่องเที่ยวจะต้อง มีความสะอาด สะดวก ปลอดภัย

สำหรับภาพรวมการท่องเที่ยวในช่วง 2  เดือน มีแนวโน้มที่ดี ดูได้จากแพ็คเกจต่างๆ รวมทั้งตัวเลขจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองก็อยู่ในระดับปกติ และในวันพรุ่งนี้จะไปต้อนรับนักท่องเที่ยวคนที่ 24  ล้าน คาดว่าจำนวนตัวเลขนักท่องเที่ยวจะเป็นไปตามยอดที่ตั้งไว้

ส่วนการจัดงานเคาดาวน์ในช่วงสิ้นปีนี้ ผู้ว่า ททท. กล่าวว่า  ต้องการจะให้วัดอรุณเป็นฉากหลังในการเคาดาวน์ และจะขอให้มีการถอนห้างร้านบางส่วนออกไป ซึ่งได้ปรึกษากับเจ้าอาวาสและกรมศิลปากรแล้ว แต่สิ่งที่กรมศิลปากรค่อนข้างกังวลคือ การจุดพลุ ที่น้ำหนัก ของดินประสิว และจะต้องมีการคำนวนตัวเลขค่าสั่นสะเทือนที่จะเกิดขึ้น ซึ่งจะต้องน้อยกว่าค่ามาตรฐานที่กำหนด เพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนต่อยอดพระปราง ซึ่งเรื่องนี้ จะนำเข้าการประชุมคณะรัฐมนตรีในต้นเดือนพฤศจิกายน เพื่อของบประมาณในการจัดงาน โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณ 100-200 ล้านบาท