นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ได้ลงพื้นที่ ภูทับเบิก อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ จากนั้นได้พูดคุยกับ ชาวบ้าน องค์การบริหารส่วนตำบล 2 แห่ง โดยพบว่า ชาวบ้านได้ปรับเปลี่ยนไร่ กะหล่ำปลี เป็นรีสอร์ท ตาม ความต้องการของนักท่องเที่ยว จากเดิมที่ไปดูกะหล่ำปลียักษ์ ก็เริ่มอยากหาที่พักบนภูทับเบิก ทำให้ชาวบ้านเริ่มสร้างที่พักเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว จากเดิมที่ต้องกางเต้นท์นอน จึงเป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดทำให้เกิดปัญหา
นายมานพ สายอุ่นใจ ผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไหม้ที่ 4 เปิดเผยว่าเมื่อกลางสัปดาห์ ได้ข้อสรุปเรื่องการแก้ไขปัญหาภูทับเบิก 8มาตรการคือ การกำหนดเขตการใช้ประโยชน์ที่ดิน มุ่งเน้นพื้นที่บริเวณที่มีการก่อสร้าง หรือมีนักท่องเที่ยวเข้ามาก่อน มีกำหนดระยะเวลาดำเนินการ 3 เดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.นี้
การคัดกรองคุณสมบัติผู้ที่จะเข้ามาใช้ประโยชน์บริเวณพื้นที่ภูทับเบิก รวมไปถึงการกันพื้นที่ให้กับประชากรชาวเขา ซึ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นจากเดิม 500 ราย เป็น 4,000 ราย โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ จะเป็นหน่วยงานที่เข้ามารับผิดชอบในเรื่องนี้
การสำรวจการถือครองพื้นที่ เน้นในเรื่องของการตรวจสอบว่าใครเป็นผู้ถือครอง เพื่อนำมาสู่แผนการดำเนินการ
การทำแผนผังภาพรวมพื้นที่ทั้งหมด คาดว่าจะใช้ระยะเวลาทั้งหมด 8 เดือน
การจัดทำผังเมืองจ.เพชรบูรณ์ รับผิดชอบดำเนินการโดยส่วนราชการจ.เพชรบูรณ์ เน้นวางข้อกำหนดเกี่ยวกับภูทับเบิกเป็นกรณีพิเศษ
การจัดการด้านการดำเนินคดี โดยมีรีสอร์ทที่บุกรุกพื้นที่อีกประมาณ 40 ราย แต่หากพบว่าเป็นการบุกรุกใหม่หลังจากนี้ จะดำเนินคดีทันที การฟื้นฟูระบบนิเวศน์ และ การจัดการขยะ ปัญหาการจราจร การควบคุมราคาสินค้า ระบบบำบัดน้ำเสียและสาธารณูประโภค ส่วนการรื้อถอน รีสอร์ทที่ศาลพิพากษาสั่งให้ดำเนินการเป็นหน้าที่ของกรมบังคับคดี
สำหรับที่ดิน บนภูทับเบิก มีคำพิพากษาศาลปกครองพิษณุโลกคดีดำ185/54 กรณีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแล แก้ไขป้องกันทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในบริเวณที่มติ ค.ร.ม. พ.ศ.2509 กันพื้นที่ทับเบิกให้อยู่ในความรับผิดชอบของกรมประชาสงเคราะห์ชาวเขา(เดิม)ปัจจุบันคือกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ โดยปัจจุบันยังไม่สามารถดำเนินการตราพระราชกฤษฎีการับรองการจัดตั้งนิคมสหกรณ์ศูนย์สงเคราะห์ชาวเขาได้ ส่งผลให้ที่ดินบริเวณภูทับเบิกของผู้ถือครองยังไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ครอบครองตามมาตรา3(2) ประมวลกฎหมายที่ดิน แต่ยังคงเป็นป่าตามมาตรา 4(1) พรบ.ป่าไม้ 2484 และเป็นอำนาจหน้าที่ของกรมป่าไม้ในการควบคุม กำกับดูแล ป้องกันการบุกรุกการทำลายป่าและการกระทำผิดในพื้นที่ตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมป่าไม้ พ.ศ.2551 อีกทั้งกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ พ.ศ.2545 มิได้ให้อำนาจในการควบคุม กำกับดูแลป้องกันการบุกรุก การทำลายป่าและการกระทำผิดในพื้นที่เช่นเดียวกับกรมป่าไม้
ถึงแม้จะมีมติคณะรัฐมนตรีกันพื้นที่ออกจากป่าให้กรมประชาสง เคราะห์ (เดิม)ดำเนินการจัดตั้งนิคมสร้างตนเองและสงเคราะห์ชาวเขา แต่มติ ค.ร.ม.ดังกล่าวเป็นเพียงการสั่งการภายในของฝ่ายปกครองซึ่งหากจะมีผลผูกพันก็เฉพาะกรมป่าไม้และผู้ถูกฟ้องคดี(กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการกับผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาสังคม หน่วยที่ 38 จังหวัดเพชบูรณ์)ที่จะปฏิบัติตามมติดังกล่าวในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งการปฏิบัติตามมติดังกล่าวย่อมอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย อีกทั้งผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองยอมรับว่ามีหน้าที่เป็นเพียงการให้ความเห็นในเบื้องต้นเท่านั้น
ผู้ที่จะดำเนินการสร้างอาคารจะต้องขออนุญาตต่อกรมป่าไม้และเมื่อได้รับอนุญาตจากกรมป่าไม้แล้วจึงจะสร้างได้ จึงเห็นว่าอำนาจของผู้ถูกฟ้องมีเพียงการจัดตั้งนิคมตาม พรบ.จัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2518ในพื้นที่รับผิดชอบของกรมป่าไม้เท่านั้น อำนาจในการกำกับดูแลป้องกันการทำลายการบุกรุกป่าจึงเป็นของกรมป่าไม้ ประกอบกับยังไม่มี พรก.จัดตั้งนิคมตามมาตรา 7 พรบ.จัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2511 ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่มีอำนาจในการสั่งห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปปลูกสร้างหรือสั่งให้ทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างภายในเขตนิคมได้
จากคำพิพากษาศาลปกครองพิษณุโลก คดีหมายเลขดำที่185/54 คดีแดงที่111/55 จะเห็นได้ว่าอำนาจในการดำเนินการในพื้นที่ตามมติ ครม.พศ.2509 ที่กันพื้นที่ไปให้กรมประชาสง เคราะห์(เดิม)หรือกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ นั้นยังอยู่ในความรับผิดชิบของกรมป่าไม้เต็มๆ เนื่องจากยังไม่ได้ตั้งนิคมตามกฎหมาย งานนี้กรมป่าไม้ยุ่งแล้ว และจะต้องแจ้งเวียนแนวทางปฏิบัติเสียใหม่ตามคำพิพากษาศาลปกครองนี้ หากพื้นที่ใดยังไม่ได้จัดตั้งนิคมถูกต้องตามกฎหมาย
หลังจากที่ได้มีมติ 8 ข้อออกมาแล้ว นายชลธิศ สุรัสวดี อธิบดีกรมป่าไม้ก็เดินทางไปตรวจพื้นที่บริเวณภูทับเบิก โดยมีตัวแทนของเจ้าของรีสอร์ท จำนวน 10 แห่ง ได้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่ออธิบดีกรมป่าไม้ จากการตรวจสอบ พบว่า เจ้าของรีสอร์ทในท้องที่ทับเบิกยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมกับอธิบดีกรมป่าไม้เมื่อวันที่ 22 ตค.58 บริเวณจุดชมวิวภูทับเบิกนั้น เบื้องต้นพบว่าผู้ที่เป็นตัวแทนยื่นหนังสือต่อท่านอธิบดีกรมป่าไม้นั้นเป็นหนึ่งในผู้ต้องหาในคดีที่สำนักฯ4 พล.ได้ตรวจยึดจับกุมรีสอร์ทจำนวน 18 คดีเมื่อวันที่ 4-5 ธ.ค.57 และขณะนี้ศาลจังหวัดหล่มสักได้พิพากษาตัดสินเจ้าของรีสอร์ทที่ได้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมทุกคนแล้ว
CR:สำนักจัดการทรัพยากรป่าไหม้ที่ 4