*'วุ้นเส้น'เข้าให้ปากคำสธ. รับภาคธุรกิจติดต่อโชว์เบียร์*

ความคืบหน้ากรณีกลุ่มดารา นักร้อง นักแสดง พริตตี้ โพสต์ภาพคู่กับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยี่ห้อหนึ่งผ่านอินสตราแกรมส่วนตัวเข้าข่ายผิดมาตรา 32 พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 นายแพทย์ สมาน ฟูตระกูล ผอ.สำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ (21ต.ค.) "วีเจวุ้นเส้น" หรือ น.ส.วิริฒิพา ภักดีประสงค์ พร้อมด้วยทนายความส่วนตัว ได้เข้าให้ข้อมูลต่อเจ้าพนักงานเรื่องการโพสต์ภาพถ่ายคู้กับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยเจ้าตัวยอมรับว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการโฆษณาเบียร์ ไม่ใช่แค่การโฆษณาน้ำดื่มยี่ห้อเดียวกัน จึงเข้าข่ายการกระทำเพื่อประโยชน์ทางการค้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างชัดเจน ส่วนจะมีความเชื่อมโยงกับใคร รวมถึงรายระเอียดอื่น ขออนุญาตไม่ลงรายละเอียด

"ขอบคุณ คุณวุ้นเส้นที่เข้ามาให้การ ยืนยันว่าไม่ได้เป็นการโพสต์เล่น เป็นการโปโฆษณาเบียร์จริงๆ ถือว่าเป็นการทำที่เป็นกระบวนการ มีการวางแผน ถือว่าต้องชื่นชมเพราะเข้าใจว่าถือว่าในไอจี เป็นพื้นที่ส่วนตัวจริงๆ เพราะมีผู้ติดตามคุณวุ้นเส้นประมาณ 4 ล้านคน ซึ่งดาราก็เหมือนเป็นไอดอลอยู่แล้ว ประชาชนก็พร้อมที่จะติดตามได้ จะทำให้ผู้ดื่มแอลกอฮอล์มีมากขึ้น ตามมาตรากฎหมายอาญา ปรับ 500,000บ.และปรับรายวัน 10,000บ. ผู้ที่ใช้ให้กระทำก็มีความผิดเท่ากับผู้ที่กระทำ ถ้าหลักฐานข้อมูลแน่นแล้ว การให้ถ้อยคำถือว่าเป็นจิ๊กซอว์เล็กๆ แต่หลักฐานค่อนข้างจะมัดแน่นอยู่แล้ว ขั้นตอนกระบวนการที่จะดำเนินการ จะรวบรวมข้อมูลจากดาราทั้งหมด และจะส่งฟ้องก่อนปีใหม่"

น.ส.วิริฒิพา ระบุว่า ยินดีให้ความร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุขในการบำเพ็ญประโยชน์ช่วยรณรงค์ ลด ละ เลิก การดื่มสุราอีกด้วย  ส่วนผู้ที่มีชื่อในแคมเปญโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยี่ห้อดัง ให้ข้อมูลไม่ตรงกันตรงนี้จะมีผลอะไรหรือไม่ นพ.สมาน กล่าวว่า ในส่วนดารานั้นมีความชัดเจนอยู่แล้วว่ากระทำผิดฐานโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยข้อมูลที่ได้เป็นเรื่องของบุคคล รวมกับสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ของรายบุคคล ทางสำนักงานฯ ทำหน้าที่แค่รวบรวมข้อมูลและให้ศาลพิจารณาตัดสิน แต่ในส่วนของน.ส.วิริฒิพา ซึ่งให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์และยินดีให้ความร่วมมือในการรณรงค์ลด ละ เลิกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้น จะรายงานให้คณะอนุกรรมการพิจารณาความผิดตามกฎหมายได้ทราบ ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อตัวดาราเอง ทั้งในชั้นเจ้าพนักงาน และในชั้นศาลอย่างแน่นอน