*นายกฯ ย้ำต้องใช้ม.44 ยอมรับผิดพลาด แต่งตั้งเลขาสภา *

20 ตุลาคม 2558, 16:07น.


การใช้มาตร มาตรา44 สั่งย้ายเลขาธิการสภาผู้แทนราษฏรพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)กล่าวว่า การใช้อำนาจตามมาตรา 44 ให้นายจเร พันธุ์เปรื่อง เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรพ้นจากตำแหน่งและไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรีตามคำสั่งหัวหน้า คสช.ฉบับที่ 37/2558 รวมถึงมีคำสั่งคำสั่งยกเลิกไม่ให้นายนัฑ ผาสุข ที่ปรึกษาด้านกฏหมายสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งต่อมาสั่งให้ทบทวนอีกครั้ง   โดยการใช้อำนาจสั่งย้าย มี 2 สาเหตุ คือ การทุจริต และการปรับปรุงประสิทธิภาพ ในกรณีนี้ย้ายเพื่อปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่วนจะมีการทุจริตก็หรือไม่ก็ต้องมีการตรวจสอบต่อไป แต่ยอมรับว่าผิดที่ลงนามแต่งตั้งนายนัฑ ทั้งที่มีกฎระเบียบการแต่งตั้งภายในจึงต้องยกเลิกคำสั่งและให้ทบทวนการแต่งตั้งที่เกิดขึ้น ซึ่งการสั่งย้ายในกรณีนี้ไม่สามารถใช้กฎหมายปกติได้ เพราะเป็นตำแหน่งที่มีการโปรดเกล้าฯจึงต้องใช้มาตรา 44 แต่ไม่ได้ย้ายเพราะข้าราชการที่แต่งชุดดำประท้วง และยืนยันว่าไม่ได้ใช้อำนาจพร่ำเพรื่อ ไม่ได้ดันทุรัง ไม่อยากแต่งตั้ง และไม่ต้องการใช้มาตรา 44 แต่จำเป็นเพื่อการขับเคลื่อนให้เร็วขึ้น ไม่ได้ตั้งใจไปรังแกข้าราชการ แต่คนที่อยู่แล้วทำไม่ได้ก็ต้องออกไปไม่ว่าจะอยู่ข้างไหน วันนี้ก็เช่นกันหากทำไม่ดีก็ย้ายไป



สำหรับการก่อสร้างรัฐสภาใหม่ที่ล่าช้า นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จะหาต้องคนใหม่ที่ขับเคลื่อนได้เร็วขึ้น และให้ความเป็นธรรมกับผู้ก่อสร้าง ส่วนจะมีการทุจริตหรือไม่กำลังตรวจสอบอยู่ หากอยากให้เร็วขอให้ไปร้องทุกข์กล่าวโทษม



นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงนายธานินทร์ กรัยวิเชียร องคมนตรี ส่งจดหมายเปิดผนึก ให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จะเกิดขึ้นตัดสิทธินักการเมืองที่มีคดีทุจริตจากการเลือกตั้งระยะเวลา 5 ปี ว่า ได้มอบหมายให้ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีและคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ไปศึกษาว่าจะสามารถดำเนินการได้หรือไม่  โดยเนื้อหาของจดหมายเน้นถึงกระบวนการยุติธรรม การปราบปรามทุจริต การปฏิรูปประเทศ รวมถึงยังมีการให้กำลังรัฐบาลในการทำงานที่ผ่านมา



ขณะที่เรื่องความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเซีย-แปซิฟิก (TPP) ยืนยันว่าไม่มีการปิดกั้นเพราะยังมีเวลาศึกษาจนถึงปี 2560  ซึ่งต้องดูว่ามีผลดีผลเสียอย่างไร อย่ารีบร้อนเนื่องจากมีข้อตกลงที่ทับซ้อนหลายสิ่ง



ส่วนกระแสการไม่เห็นด้วยกับการใช้ซิงเกิ้ลเกตเวย์ ย้ำว่าไม่เคยบอกว่าให้ทำหรือไม่ทำ แต่ให้ศึกษาในเรื่องการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล การให้ร้าย ซึ่งต่อไปจะทำอย่างไรตนไม่ทราบ บางประเทศเขาทำก็ไปดูมา แต่ที่สำคัญอยู่ที่จิตสำนึกของพวกเราว่าอย่างไร สื่อว่าอย่างไร ไม่ใช่อะไรก็เสรีภาพทุกอย่าง เรียกร้องว่าต้องปลอดภัย สิทธิมนุษยชน เพราะทุกคนตามใจตัวเองหมด พอไม่ดีก็โทษกฎหมายไม่ดี เจ้าหน้าที่ไม่ดี แต่ไม่เคยโทษตัวเองเลย ว่าตัวเองมีส่วนร่วมประเทศนี้เท่าไหร่ เพราะถ้าบอกไม่ว่าให้มีเทคโนโลยี ถามว่าจะห้ามกันเองได้หรือไม่  การไม่เขียนให้ร้ายประเทศชาติรัฐบาล ถ้าห้ามไม่ได้ อย่ามาบอกว่าจะใช้วิธีไหนอย่างไรแล้ว เมื่อไหร่จะปรองดองได้แบ่งคนเป็น 2-3 ข้าง ทั้งนี้พยายามจะลดระดับแต่ก็มีการตั้งแง่ตั้งประเด็นขึ้นมา แล้วจะมีอะไรที่ให้ประโยชน์กับประเทศบ้าง

ข่าวทั้งหมด

X