ความคืบหน้าคดีรื้อบาร์เบียร์สุขุมวิท ซอย 10 เหตุเกิดเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2546 เนื่องจากกลุ่มนายทุนกลุ่มใหม่ได้ว่าจ้างให้เข้าไปรื้อร้านค้าของผู้เช่าเดิมเพื่อใช้พื้นที่ทำประโยชน์ วันนี้ ศาลฎีกา นัดอ่านคำพิพากษา เลื่อนมาจากเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2558 เนื่องจากทนายจำเลยบางคน และนายประกันได้แจ้งต่อศาลว่า มีจำเลยบางคนเสียชีวิตลง ทำให้ศาลต้องตรวจสอบข้อเท็จจริง และได้เลื่อนอ่านคำพิพากษามาเป็นวันนี้แทน
คดีนี้พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง จ.ส.อ.อภิชาติ ริมมสาร หรือรัมมะสาร, นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย และอดีตผู้บริหารบริษัท สุขุมวิท ซิลเวอร์สตาร์, พ.ท.หิมาลัย ผิวพรรณ หรือ "เสธ.หิ" นายทหารฝ่ายเสนาธิการประจำหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา บก.สส. (ตำแหน่งขณะฟ้องปี 2546), พ.ต.ธัญเทพ ธรรมธร หรือ "เสธ.แอ๊บ" นายทหารสังกัดกองพันทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ตำแหน่งขณะฟ้องปี 2546) และพวกรวม 131 คน เป็นจำเลย ในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์, บุกรุกในเวลากลางคืน และกักขังหน่วงเหนี่ยวข่มขืนใจให้บุคคลปราศจากเสรีภาพ เหตุเกิดเมื่อช่วงเช้ามืดเวลา 04.00 น. วันที่ 26 มกราคม 2546
คดีดังกล่าวศาลชั้นต้นให้จำคุก 1 ปี นายชาญเวทย์ มาลัยบูชา จำเลยที่ 49 ซึ่งเป็นทนายความนำเอกสารสิทธิการครอบครองที่ดินไปแจ้งต่อพนักงานสอบสวน สน.ลุมพินี ให้ลงบันทึกประจำวันช่วงเวลาเดียวกับที่กลุ่มชายฉกรรจ์กำลังรื้อถอน เพื่อใช้เป็นเครื่องมือให้ผู้อื่นเข้าใจว่าการรื้อถอนถูกกฎหมาย และหาผู้ร่วมดำเนินการ ตามความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358, 365 (2), (3) ประกอบ 362, 83 และ 86 ฐานเป็นผู้สนับสนุนให้ร่วมกันบุกรุกในเวลากลางคืน แต่ศาลเห็นว่าคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 49 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 8 เดือน ส่วนจำเลยอื่นศาลยกประโยชน์แห่งความสงสัย ให้ยกฟ้อง
ต่อมาศาลอุทธรณ์ได้พิพากษากลับว่า นายชูวิทย์ กับพวกอีก 2 คน ที่เป็นนายทหาร มีความผิดจริง สั่งจำคุกคนละ 5 ปี โดยไม่รอลงอาญา ซึ่งนายทหารทั้งสองได้ยื่นเงิน 5 แสนบาท เพื่อประกันตัว ส่วนนายชูวิทย์ได้ปล่อยตัวเพราะมีเอกสิทธิ์ ส.ส.คุ้มครองในขณะนั้น ล่าสุด นายชูวิทย์ เดินทางมารับฟังคำพิพากษาแล้ว
นายชูวิทย์ พร้อมยอมรับคำตัดสินของศาล ยอมรับว่าค่อนข้างเครียด แต่ก็เชื่อมั่นในคำตัดสินของศาล
ศาลอุทธรณ์ ได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า คดีนี้โจทก์มีผู้ค้าซึ่งเป็นผู้เสียหายเป็นพยาน รวมทั้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เกิดเหตุเบิกความยืนยันว่า กลุ่มจำเลยได้เดินเข้ามาดูลาดเลาในพื้นที่ก่อนเกิดเหตุ และเมื่อเกิดเหตุแล้ว จำเลยบางคนได้กันให้ผู้ค้าออกจากพื้นที่ และห้ามให้ผู้เกี่ยวข้องเข้ามาในพื้นที่ โดยจำเลยบางคนได้นำรถแบ็กโฮเข้ามารื้อถอนร้านค้า นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งเป็นพยานโจทก์เบิกความยืนยันว่า ภายหลังรับแจ้งเหตุ เมื่อเข้าไปตรวจสอบในพื้นที่ก็พบจำเลยบางคนอยู่ในพื้นที่ด้วย พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาจึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า พฤติการณ์ของพวกจำเลยได้ร่วมกันบุกรุกเข้าไปในที่เกิดเหตุ และแบ่งหน้าที่กันทำ
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1, 3, 7-11, 13-14, 18, 21, 40-47, 49-51, 56-59, 61-62, 64-74, 76-79, 81, 83-85, 88, 90, 92, 94, 96, 99, 102, 104, 106-113, 115, 117-123, 125, 128-130 รวม 66 คน มีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยมีอาวุธ ในเวลากลางคืน ตามมาตรา 358, 365 (1)(2)(3) ประกอบมาตรา 362 และ 83 โดยจำเลยที่ 73 และ112 ยังมีความผิดตามมาตรา 309 วรรคสอง ฐานข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดโดยมีอาวุธ หรือโดยร่วมกระทำผิดตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ซึ่งการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามมาตรา 365 (1)(2)(3) ซึ่งเป็นบทหนักสุด จำคุกจำเลยคนละ 5 ปี ส่วนจำเลยที่เหลืออีก 64 คน พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้อง
แต่ในส่วนจำเลยที่ 21, 68, 81, 96, 99 และ122 เนื่องจากอายุยังไม่เกิน 20 ปี ศาลจึงเห็นสมควรลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามตามมาตรา 76 คงจำคุกจำเลยทั้ง 6 คนๆ ละ 3 ปี 4 เดือน นอกจากนี้ในส่วนของจำเลยที่ 42, 44, 47, 51, 68, 99 และ 120 ศาลให้บวกโทษจำคุกที่เคยรอลงอาญาไว้ในคดีอื่นด้วย จึงให้จำคุกจำเลยที่ 42 เป็นเวลา 5 ปี 3 เดือน, จำเลยที่ 44 จำคุก 5 ปี 15 วัน, จำเลยที่ 47 และ 120 จำคุกคนละ 5 ปี 6 เดือน, จำเลยที่ 51 จำคุก 7 ปี, จำเลยที่ 68 จำคุก 3 ปี 4 เดือน 15 วัน, และจำเลยที่ 99 จำคุก 3 ปี 10 เดือน
CR:แฟ้มภาพ