*กษิต-เลิศรัตน์ รายงานตัวเป็นสปท. เดินหน้าปฎิรูปปท.

หลังการรายงานตัวสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) นายกษิต ภิรมย์ ตัวแทนจากพรรคประชาธิปปัตย์  กล่าวว่า การเข้ามาร่วมทำหน้าที่ สปท. ในครั้งนี้เนื่องจากรัฐบาลได้ประสานไปยังนานอภิสิทธิ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ให้ส่งตัวแทนพรรคเข้าร่วมจำนวน 2 ราย ซึ่งในการทำงานของสปท. ก็จะเป็นไปตาม12 แนวทางของคสช. แผนการปฏิรูปประเทศของสปช. และข้อเรียกร้อของภาคประชาชน โดยเฉพาะเรื่องการกระจายอำนาจ และการปฏิรูประบบข้าราชการให้เกิดความโปร่งใส โดยเฉพาะสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ซึ่งถือเป็นบรรทัดฐานการปฏิรูปประเทศของสปท. ที่จะเริ่มในวันที่ 13 ต.ค. นึ้ ส่วนเรื่องการแก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น ถือเป็นหนึ่งในหน้าที่ของสปท.อยู่แล้ว ซึ่งต้องการรือกับสมาชิกว่าจะมีแนวทางการดำเนินการอย่างไร อาทิ การจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ การจัดสรรงบประมาณไปสู่พื้นที่ ขณะเดียวกันต้องมีการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) เพื่อรองรับการเขียนกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปประเทศ

พลเอกเลิศรัตน์ รัตนวานิช อดีตคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และอดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เปิดเผยว่า ต้องขอขอบคุณรัฐบาล ขอบคุณพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ให้ความไว้วางใจให้เข้ามาทำหน้าที่ดังกล่าว ซึ่งการปฏิรูปเป็นเรื่องสำคัญ โดยมองว่าการทำงานร่วมกันต้องวางระเบียบข้อบังคับการประชุม ให้ชัดเจน เพราะการประชุมเป็นหัวใจสำคัญของการของการขับเคลื่อน และสปท. มีระยะเวลาในการทำงาน 20 เดือน ซึ่งจะต้องพิจารณากันต่อไปว่าควรจะแยกเป็นกรรมาธิการวิสามัญหรือไม่

สำหรับการปฏิรูป จะต่อยอดจากสปช. เพราะบางอย่างที่สปช. ทำนั้นเป็นประโยชน์ และบางเรื่องจะต้องริเริ่ม ดำเนินการขึ้นมาใหม่ ซึ่งจะต้องให้การทำงานของสปท. เหมือนกับสปช. โดยมองว่าการปฏิรูปไม่ได้เน้นเรื่องไหนมากกว่ากัน เพราะทุกเรื่องคือเรื่องสำคัญ

ขณะที่การคัดเลือกประธาน สปท. จะต้องพิจารณาจากผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ มีประสบการณ์ วัยวุฒิ มีความเหมาะสมและเป็นที่ยอมรับของสมาชิก สปท. เท่าที่ดูในใบรายชื่อก็มีความเหมาะสมหลายคน หากถามว่ามีใครในใจหรือไม่นั้น ยังตอบไม่ได้ ต้องดูว่าจะมีใครพร้อมที่จะทำหน้าที่นี้บ้าง เพราะตำแหน่งประธานนั้นเป็นตำแหน่งที่จะต้องเสียสละ ทุ่มเทมากกว่าคนอื่น หากเป็นทหาร และเป็นพลเรือนด้วย ก็น่าจะดี เพราะทหารหลายๆ คนก็มีประสบการณ์ด้านการเมืองการปกครอง