กลับมาเป็นประเด็นร้อน เรื่องการขุดคอคอดกระ หลังมีข่าวก่อนหน้านี้หลายเดือน ว่า อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยไปร่วมลงนาม ความร่วมมือในการขุดคอคอดกระ รศ.ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น ผู้อำนวยการ ศูนย์วิจัยยุทธศาสตร์ไทย-จีน สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ได้ยืนยันจากการให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 6 ต.ค.ว่า หลังจากที่มีข่าวนี้แพร่ออกไป ได้ตรวจสอบกับผู้ผลิตรายการให้ CCTV ทันที ซึ่งก็พบว่ามีข้อผิดพลาดคลาดเคลื่อนหลายประเด็น โดยเฉพาะในเรื่องที่กล่าวอ้างว่า รัฐบาลจีน กำลังเป็นผู้มีบทบาทนำในการศึกษาข้อเสนอต่างๆ เพื่อให้เงินสนับสนุนและก่อสร้างโครงการขุดคอคอดกระ รวมทั้งจุดที่ระบุในเนื้อข่าวว่า จีนจะดำเนินโครงการขุดคอคอดกระในเร็วๆ นี้ เพราะเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ One Belt One Road โครงการเชื่อมต่อจีน และภูมิภาคเอเชีย กับภูมิภาคส่วนอื่นๆ ของโลก
ขณะที่ นายหง เหลย โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนแถลงเมื่อเดือนพฤษภาคมว่า รัฐบาลจีนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับโครงการขุดคอคอดกระ ขณะเดียวกัน ฝ่ายสารนิเทศสถานทูตไทยประจำจีนก็กล่าวว่า ได้ติดต่อกับฝ่ายที่เกี่ยวข้องของไทยแล้วยืนยันว่า สองฝ่ายที่ลงนามข้อตกลงดังกล่าวเป็นหน่วยงานภาคเอกชน ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ของรัฐในปัจจุบัน เพียงแต่หารือความเป็นไปได้ของโครงการความร่วมมือนี้เท่านั้น
เมื่อเดือนสิงหาคมปี 2551 หน่วยงานสำรวจประชามติแห่งหนึ่งของไทยเคยจัดสำรวจประชามติพบว่า คนไทยประมาณ 28% สนับสนุนการขุดคลองกระ 33% เห็นว่ามีทั้งข้อดีและข้อเสีย ขุดหรือไม่ขุดก็ได้ทั้งนั้น ผู้ที่สนับสนุนเห็นว่าการขุดคลองกระมีผลประโยชน์หลายด้านต่อไทยคือ หนึ่ง สร้างโอกาสการมีงานทำให้แก่ประชาชน เพราะผลการวิจัยแสดงว่าจะสร้างตำแหน่งงานแก่ไทย 30,000 ตำแหน่ง สอง สร้างผลกำไรให้กับประเทศ โดยคาดว่าแต่ละวันจะมีเรือลำใหญ่ 290 - 320 ลำผ่านคลองกระ สามารถเก็บค่าผ่านด่านจำนวนมาก สาม ประเทศไทยจะกลายเป็นชุมทางทางทะเล ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น จึงส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจของทั่วประเทศด้วย แต่ผู้คัดค้านเห็นว่า การขุดคลองจะทำลายภาวะนิเวศอย่างร้ายแรง ที่สำคัญคือต้องลงทุนมหาศาล ซึ่งรัฐบาลยากที่จะรับไหว ประเทศสมาชิกอาเซียนก็คัดค้านการขุดคลองกระอย่างหนัก โดยมีสิงคโปร์เป็นแกนนำ หลายร้อยปีที่ผ่านมา สิงคโปร์มีความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ โดยอาศัยช่องแคบมะละกา พัฒนาเศรษฐกิจและขยับขึ้นที่เป็นศูนย์การค้าปิโตรเลียมที่ใหญ่อันดับ 3 ของโลก รองจากกรุงลอนดอนและนครนิวยอร์ก
แฟ้มภาพ
ชมคลิปข่าว: https://www.facebook.com/cctvnewschina/videos/1052765684764251/