นายแอนเดรียส ชเลเชอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายการศึกษาขององค์การความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ(โออีซีดี)กล่าวว่าผลสำรวจทั่วโลกบ่งชี้ว่า การลงทุนงบประมาณจำนวนมากของภาครัฐเพื่อจัดหาคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนให้กับโรงเรียนไม่ช่วยทำให้เด็กนักเรียนมีผลการเรียนดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะผลทดสอบด้านการอ่าน คณิตศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ ตรงกันข้าม การใช้คอมพิวเตอร์มากเกินไปอาจจะส่งผลให้เด็กมีผลการเรียนแย่กว่าเดิม ทำให้เด็กไม่มีสมาธิกับการเรียนในชั้นเรียนและส่งเสริมให้นักเรียนใช้วิธีการลอกคำตอบสำเร็จรูปจากอินเตอร์เน็ตมาตอบการบ้าน
โดยหากพิจารณาดูประเทศที่มีระบบการเรียนการสอนที่ดีเยี่ยมในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออก เช่นเกาหลีใต้ จีน ฮ่องกงและญี่ปุ่นจะพบว่าพวกเขาใช้คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีการเรียนการสอนในชั้นเรียนไม่มากนัก ขณะที่นักเรียนที่ใช้คอมพิวเตอร์และแท็บเล็ตบ่อยเกินไปเช่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สวีเดน สเปน นอร์เวย์และเดนมาร์ก จะมีผลการเรียนแย่กว่ากลุ่มนักเรียนที่ใช้ระดับปานกลางคือใช้คอมพิวเตอร์หรือแท็บเลตเพียงหนึ่ง หรือสองครั้งต่อสัปดาห์
นายชเลเชอร์ เพิ่มเติมว่า ผลศึกษาเรื่องนี้ไม่ควรจะใช้เป็นข้ออ้างที่จะไม่ส่งเสริมการใช้คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีการเรียนการสอนในชั้นเรียนต่อไป แต่ควรจะจุดประเด็นให้มีการค้นหาวิธีการปรับปรุงพัฒนาระบบการเรียนการสอนของโรงเรียนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
สำหรับการวิจัยเรื่องนี้มุ่งศึกษาผลของเทคโนโลยีการเรียนการสอนของโรงเรียนที่มีผลต่อผลการทดสอบระดับนานาชาติ เช่นผลสอบในโครงการประเมินผลนักเรียนร่วมกับนานาชาติหรือ PISA ซึ่งมีการทดสอบในประเทศต่างๆกว่า 70 ประเทศและการวัดทักษะด้านดิจิตอล ด้านบริษัทการ์ทเนอร์ ผู้วิเคราะห์ด้านเทคโนโลยีระบุว่า เทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอนของโรงเรียนต่างๆทั่วโลกคาดว่ามีมูลค่ารวม 17,500 ล้านปอนด์ เฉพาะในอังกฤษ งบประมาณด้านเทคโนโลยีการเรียนการสอนของโรงเรียนทั่วประเทศมีมูลค่าร่วม 900 ล้านปอนด์/15.53 น.
CR:OECD