ในการประชุมประจำปีสำนักพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง “ทิศทางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560-2564)” ที่ห้องแกรนด์ ไดมอนด์ บอลรูม ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเปิดการประชุม
โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องมีการวางรากฐาน พัฒนาคนเพื่อพัฒนาประเทศ เพิ่มประสิทธิภาพพัฒนาในด้านต่าง ๆ หาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรเนื่องคาดคาดว่าในปีหน้าน้ำจะแล้งอีก และต้องมองไปข้างหน้าอีก 20 ปี ว่าจะต้องพัฒนาไปมากกว่านี้ ทำอย่างไรจึงจะอยู่ร่วมกันได้ด้วยกฎหมาย แต่จะให้ร่ำรวยเท่ากันคงยาก ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยมีปัญหาอยู่ 3 อย่าง นักการเมือง ข้าราชการ และประชาชนที่ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน วันนี้จึงต้องแก้ไขทุกเรื่อง สังคม เศรษฐกิจ ส่วนการสร้างรถไฟที่ให้จีนมาทำเพราะสามารถเชื่อมต่อไปในหลายประเทศ และไปถึงยุโรปได้ และที่ทำรถไฟความเร็วปานกลางเพราะรถไฟความเร็วสูงมีราคาแพงมาก และยังเตรียมให้สนามบินอู่ตะเภาเป็นสนามบินพานิชย์แห่งที่สาม เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว
นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีได้ย้ำกับนายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่เข้ามาร่วมงานในวันนี้ด้วย ว่าไม่ได้ต้องการสืบทอดอำนาจ ซึ่งเวลา 20 เดือนที่เหลือเป็นเวลามากไป และไม่ได้ต้องการ หากต้องการเลือกตั้งตนเองก็ไม่มีปัญหา พร้อมขอให้เข้าใจเพื่อทำให้ประเทศผ่านไปได้ ส่วนรัฐธรรมนูญนั้นไม่ต้องการว่าจะผ่านหรือไม่ผ่าน และการที่เสนอให้มีคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และการปรองดองแห่งชาติ(คปป.) ในรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่เพื่อจะให้ไม่ผ่าน แต่เป็นเพราะแต่ไม่สามารถละทิ้งการสานต่อการปฏิรูปไปได้
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า หากคราวหน้าใครไม่เข้ามาอยู่ในคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญและสภาขับเคลื่อนประเทศก็ห้ามวิจารณ์ส่วนใครที่วิ่งเต้นเข้ามาจะขีดชื่อทิ้ง เพราะขณะนี้มีการวิ่งเต้นเข้ามาเยอะ พร้อมฝากถึงในอนาคตหากมีรัฐบาลจากการเลือกตั้งต้องมีการบูรณาการในทุกกระทรวงเพื่อขับเคลื่อนประเทศต่อไป ทั้งนี้ขอให้คนไทยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม โดยยกตัวอย่างกรณีการรื้อสะพานข้ามแยกเกษตรที่มีคนออกมาต่อว่าไม่พอใจเนื่องจากทำให้รถติด ว่า หากจะเอาใจไปทำเส้นทางใหม่แต่ไม่สามารถทำได้เพราะเป็นการสิ้นเปลืองและเพิ่มงบประมาณมากขึ้น
ทั้งนี้การประชุมครั้งนี้เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนของสังคม เพื่อพัฒนาจากประเทศที่มีรายได้ปานกลางเป็นประเทศที่มีรายได้สูงโดยนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ เพื่อความ มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน มาใช้ ซึ่งแผนพัฒนาฯที่ 12 มีแนวทางการพัฒนาที่สำคัญดังนี้ การพัฒนาเศรษฐกิจในภาพรวม การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม อุตสาหกรรม ลงทุนด้านการบริหารจัดการน้ำ ผลิตแรงวาน เพิ่มขีดความสามารถให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อย (เอสเอ็มอี) พัฒนาสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่ง (OTOP) พัฒนาด้านการเกษตร เชื่อมโยงทุกภูมิภาค ซึ่งในการประชุมจะนำแนวคิดปรับปรุงร่างทิศทางของแผนและเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อที่จะเพื่อทูลเกล้า ฯ ประกาศใช้ในวันที่ 1 ต.ค. 2559 ต่อไป
...ผสข.ปิยะธิดา เพชรดี