การเสวนา เรื่อง พลเมืองร่วมปฏิรูปประเทศ โดยมีนายบัญฑูร เศรษฐศิริ อดีตกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาต(นปช.) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขานุการมูลนิธิมวลมหาประชาชน และนางสาวสฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการ และผู้ร่วมก่อตั้งเครือข่ายพลเมืองเน็ต นายจตุพร กล่าวว่า ไม่มีประชาชนคนใดออกออกมาสู่ท้องถนน แต่เป็นเพราะเกิดความเดือดร้อนและไม่มีทางเลือก และรัฐบาลไม่ว่าจะรัฐบาลใด จะมองว่าชาวบ้านที่มาเรียกร้องปัญหาเป็นฝ่ายที่มาโค่นล้มอำนาจตนเอง ซึ่งภาคประชาขนมีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบ
ส่วนเรื่องความขัดแย้งจะต้องแยกแยะกันระหว่างความขัดแย้งกับแตกต่าง ยืนยันว่า ไม่ได้มีการขัดแย้งเป็นการส่วนตัวกับกลุ่ม กปปส. ขณะเดียวกันต้องการให้ การปฏิรูปเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างไม่มีวันหยุด และคำว่าปฏิรูปอย่าให้เป็นเพียงคำพูดที่เอาไว้โกหกกัน พร้อมย้อนถามไปถึงผู้มีอำนาจว่าพร้อมในการปฏิรูปหรือไม่ และประเทศนี้ประชาชนต้องมีสิทธิ์พูดได้ทุกคน จะต้องเปิดใจและเปิดพื้นที่รับฟังความเห็นแตกต่าง ไม่ใช่ความแตกแยก และนักการเมืองต้องไม่ทำตัวแบบนักเลือกตั้ง และควรใช้เวลานี้ในการปฏิรูปตัวเอง หากไม่ปฏิรูปพรรคการเมืองก็จะเป็นเครื่องมือในการยึดอำนาจด้วยเช่นกัน และนปช.ต้องมาทบทวนตัวเองโดยไม่คิดว่าถูกหรือผิดไปทุกเรื่อง ถ้านักการเมืองไม่เปลี่ยนแปลงประชาชนจะเปลี่ยนนักการเมือง นายจตุพร ยังกล่าวอีกว่า หากไม่เป็นประชาธิปไตยไม่ต้องคืนอำนาจ และหากไม่พร้อมจะคืนประชาธิปไตยก็ไม่ต้องเลือกตั้ง เพราะจะไม่ยอมรับการสืบทอดทอดอำนาจในรูปแบบอื่น
ด้านนายเอกนัฏ กล่าวว่า ช่วงที่ออกมาชุมนุมไม่ใช่เรื่องง่ายแต่เพราะระบบการบริหารแบบตัวแทนไม่ตอบสนองความต้องการของประชาชน เป็นการกระจุกตัวของอำนาจ บิดเบือนเจตนารมณ์ของประชาขน ประชาชนจึงต้องออกมาเพื่อแสดงเจตนาบนท้องถนน ทั้งนี้หากเรียนรู้ปัจจัยสำคัญ การปฏิรูปจะต้องทำอย่างไรให้กลไกเอื้ออำนวยให้พลังประชาชนมีความหมายในสายตาผู้มีอำนาจ พร้อมยืนยันไม่ได้สร้างความขัดแย้ง และย้ำเช่นเดียวกันว่า ไม่ได้มีปัญหากับ นปช. พร้อมยืนยันในการปฏิรูปที่แท้จริง แก้ไขกติการะบบการเมืองการเข้ามาสู่อำนาจทางการเมืองก่อนการเลือกตั้ง ต้องยอมรับว่าพรรคการเมืองเป็นหนึ่งจุดอ่อนในการเกิดปัญหาจึงต้องทำให้ประชาชนเป็นเจ้าของพรรคการเมืองอย่างแท้จริง
ส่วนในเรื่องร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ต้องการผลักดันให้มีกลไกในการแก้ปัญหาประเทศหากเกิดวิฤตและมีหลักประกันในการปฏิรูปเข้าไปอยู่ในเนื้อหาของรัฐธรรมนูญด้วย
ส่วนนางสาวสฤณี มองว่า มีความแตกต่างระหว่างประชาชนที่ออกมาท้องถนน และกลุ่มที่มีความเชื่อมโยงกับพรรคการเมือง เป็นระดับความซับซ้อนให้ภาคประชาชนเปลี่ยนไปมาก ดังนั้นจะต้องมีความชอบธรรมในการมีส่วนร่วมของประชาชน ต้องไม่ตัดสิทธ์ประชาชนในการเสนอแนวทาง และการปรับปรุงการทำงาน และประชาชนจะต้องรับรู้ว่าตนเองมีสิทธิมีเสียงในการแสดงความเห็นด้วยเช่นกัน
นายบัณฑูร ระบุว่าโครงสร้างการเมืองของไทยเป็นพื้นที่ปิดแคบและรวมศูนย์ ทำอย่างไรให้ประชาชนได้ใช้อำนาจไม่ใช่เพียงหย่อนบัตรเลือกตั้ง โดยให้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจในโครงการต่างๆ ของรัฐบาล ทำให้ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมเกิดได้จริง และต้องทำให้กติกาให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมง่ายขึ้น แต่ไม่ควรฝากความหวังไว้กลับหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง