เมืองไทยฯ (2):ครม.พิจารณามาตรการช่วยเอสเอ็มอี/ประสานมาเลเซียติดตามขบวนการค้ามนุษย์/ประมูลข้าวรอบ6เงียบเหงา

08 กันยายน 2558, 08:22น.


ในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ กระทรวงการคลัง จะเสนอมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย (เอสเอ็มอี)ให้ที่ประชุมพิจารณา โดยนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี จะเป็นผู้ชี้แจงมาตรการซึ่งในระยะแรกจะมุ่งเน้นการแก้ปัญหาสภาพคล่อง ด้วยการจูงใจให้ธนาคารพาณิชย์ ยอมปล่อยสินเชื่อให้เอสเอ็มอี ขยายวงเงินค้ำประกัน สำหรับเอสเอ็มอีให้เกิดความคล่องตัว  ร่วมด้วยมาตรการทางภาษีเพื่อช่วยลดต้นทุน



สำหรับมาตรการระยะถัดไปคือให้กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรม จัดทำมาตรการเพื่อหาตลาดเพิ่มเติม ส่วนมาตรการในการช่วยเหลือประชาชนผ่านกองทุนหมู่บ้านวงเงิน 6 หมื่นล้านบาท กระทรงการคลังได้ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) และธนาคารออมสิน เร่งการประชุมคณะกรรมการของธนาคารทั้งสองแห่งขึ้นกว่าปกติ เพื่อที่จะได้อนุมัติเงินกู้ลงไปยังกองทุนหมู่บ้าน



ด้านการยื่นซองเข้าประมูลข้าวสต็อกรอบ 6 ของปีนี้ ปริมาณ 7 แสน 3 หมื่น 2 พันตัน กระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่ามีเอกชนยื่นซองทั้งหมด 33 ราย น้อยกว่าการเปิดประมูลครั้งที่ 5 ที่มีผู้ยื่นซองคุณสมบัติทั้งหมด 58 ราย และถือว่าน้อยที่สุดตั้งแต่มีการเปิดประมูลข้าวของปีนี้ ซึ่งอาจเป็นเพราะปริมาณข้าวที่นำมาเปิดประมูลรอบนี้น้อยกว่าการประมูลทุกครั้งที่มีปริมาณเปิดประมูลขั้นต่ำ 1 ล้านตันขึ้นไป และในวันนี้จะประกาศผู้ผ่านคุณสมบัติเพื่อเปิดให้ยื่นซองเสนอราคาต่อไปในวันเดียวกัน



พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รมว.พลังงาน ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมและมอบนโยบายการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งในเรื่องของนโยบายการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินนั้น ทาง กฟผ.ยืนยันว่าเทคโนโลยีที่จะนำมาใช้กับโรงไฟฟ้าถ่านหิน ที่ จ.กระบี่ และโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา จ.สงขลา เป็นถ่านหินสะอาด ซึ่งก็จะต้องไปติดตามดูว่าเทคโนโลยีนั้นเป็นอย่างไร ดีเหมือนที่ระบุไว้หรือไม่



นายเนวิน สินสิริ ผู้อำนวยการสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน หรือ สพพ. เปิดเผยว่า หลังจากรัฐบาลญี่ปุ่นได้ลงนามในบันทึกแสดงเจตจำนง (เอ็มโอไอ) ในการเข้ามาร่วมถือหุ้นในนิติบุคคลเฉพาะกิจ (เอสพีวี) เพื่อบริหารโครงการท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวายไปแล้ว คาดว่าจะมีการลงนามสัญญาได้ภายในเดือนธันวาคมนี้ ในระหว่างการประชุมคณะกรรมการร่วมระดับสูงไทย-เมียนมา เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง (เจเอชซี)



มาที่ข่าวอาชญากรรม  พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เปิดเผยว่าในทางคดีต้องถือว่ายังไม่ชัดเจนว่า ผู้บงการฆ่านายสมยศ สุธางค์กูร คือใครและอาจเป็นคนที่พนักงานสอบสวนเคยเรียกมาสอบปากคำแล้วก็ได้ ส่วนกรณีที่ผู้ต้องหาบางคนยังให้การปฏิเสธ ไม่ให้ความร่วมมือนั้น ทางพนักงานสอบสวนก็ต้องใช้ความสามารถในการพิสูจน์ทราบคำให้การ และสืบหาพยานหลักฐาน ส่วนตัวเชื่อมั่นคณะทำงาน



เมื่อวานนี้ ที่ห้องประชุมศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธร ภาค 9 จ.สงขลา ส่วนหน้า สภ.หาดใหญ่ พล.ต.ท.มนตรี โปตระนันทน์ ผบช.ภ.9 เป็นประธานการประชุมชุดสืบสวนคดีค้ามนุษย์ ทั้งภาค 8 และภาค 9 เพื่อติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับคดีค้ามนุษย์โรฮีนจาและติดตามจับกุมผู้ต้องหาที่เหลือ โดยสรุปผลการจับกุม มีหมายจับทั้งหมด 146 หมาย จับได้แล้ว 89 คน และยังหลบหนี 57 ราย กลุ่มหมายจับผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีซึ่งมีอยู่ 20 คนที่หนีไปกบดานที่มาเลเซีย ซึ่งจะต้องประสานงานกับทางการมาเลเซียเพื่อช่วยเหลือร่วมติดตามจับกุมผู้ต้องหามาดำเนินคดีในไทย ทั้งอาจมีการโอนคดีไปทำที่กรุงเทพฯ ซึ่งยังต้องรอการวินิจฉัยทางศาลฎีกาต่อไป



ที่สำนักงานตำรวจภูธรจังหวัดชุมพร เมื่อวานนี้ พล.ต.ต.กิตติสัณห์ เดชสุนทรวัฒน์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 แถลงผลจับกุมผู้ต้องหาค้ายาเสพติดรายใหญ่ 2 คน คือ นายสงกรานต์ อ้อมกอกุล อายุ 32 ปี เป็นชาวจังหวัดอุดรธานี กับนายสมชาย ทาจำปา อายุ 32 ปี เป็นชาวจังหวัดร้อยเอ็ด พร้อมของกลางยาไอซ์ 100 ห่อ รวมน้ำหนัก 100 กิโลกรัม รวมมูลค่า 300 ล้านบาท โดยผู้ต้องหาตั้งบริษัทบังหน้าเพื่อรับเหมาขุดบ่อน้ำ ขุดลอกคูคลอง อยู่ใน จ.อุดรธานี โดยนายสงกรานต์มีตำแหน่งเป็นรองประธาน แต่เบื้องหลังร่วมกันลักลอบขนยาไอซ์ ยาบ้า มาจากประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อนำมาส่งยังพื้นที่ภาคกลางและภาคใต้ ซึ่งมีการกระทำเช่นนี้มาแล้วหลายครั้ง ส่วนใหญ่นำไปส่งแถว จ.พัทลุง สงขลา และนครศรีธรรมราช และตำรวจเตรียมออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการอีก 4 คน



นายพรหมมินทร์ กัณธิยะ ผู้อำนวยการสำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ (สคอ.) ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดเผยว่า องค์การอนามัยโลกสำรวจอัตราผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนทั่วโลก พบว่าเมื่อปี 2557 ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีคนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก คือ 44 คนต่อประชากร 100,000 คนต่อปี ขณะที่ข้อมูลการเกิดคดีอุบัติ เหตุจราจรของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่า พฤติกรรมการขับขี่เร็วเป็นสาเหตุสำคัญอันดับแรกของการเกิดอุบัติเหตุทางถนน และมีข้อมูลสถิติอุบัติเหตุทางถนนที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงคมนาคม ตั้งแต่มกราคมสิงหาคม 2550 จากจำนวนทั้งสิ้น 7,297 ครั้ง เกิดจากการขับรถเร็วเกินกำหนดถึง 4,562 ครั้ง (62.5%) จึงขอให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาจำกัดความเร็ว เพื่อลดอุบัติเหตุทางถนนของประเทศไทยอย่างจริงจัง



ส่วนคณะครูโรงเรียนบ้านน้ำลี ต.ปิงหลวง อ.นาหมื่น จ.น่าน นำนมโรงเรียนชนิดยูเอชที บรรจุกล่องขนาด 200 ซีซี ผลิตโดยองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) จำนวน 9 หีบ รวมกว่า 400 กล่อง ที่ได้รับสนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนตำบลปิงหลวง เพื่อให้แจกจ่ายนักเรียนตามโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียนของรัฐบาล มาแถลงยืนยันว่า นมกล่องที่ได้รับมาส่วนใหญ่มีสภาพบูดเน่าทั้งที่ระบุวัดหมดอายุคือ วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2559 ซึ่งนางพิมพ์ภัทรา เปี่ยมจิตเมตต์ รักษาการ ผอ.โรงเรียนบ้านน้ำลี เปิดเผยว่า ทางโรงเรียนพบนมบูดปะปนมาในกล่องใหญ่ทุกครั้ง แต่ครั้งนี้มีจำนวนมาก โดยใน 1 หีบ จะมีนมกล่องขนาด 200 ซีซี จำนวน 4 โหล หรือ 48 กล่อง จะพบมีนมดีอยู่เพียง 1-2 กล่องเท่านั้น นอกนั้นจะเป็นนมบูด สำหรับนมดี 1-2 กล่อง โรงเรียนไม่กล้าจะให้เด็กดื่ม เพราะไม่มั่นใจว่านมจะใกล้เสีย หรือมีคุณค่าสารอาหารพอหรือไม่ นอกจากนี้ยังพบว่ามีอีก 2 โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนปิงใน และโรงเรียนปิงหลวง ได้รับสนับสนุนนมโรงเรียนจาก อบต.ปิงหลวง เช่นเดียวกัน จากการสอบถามพบว่ามีนมบูดเน่าในลักษณะเดียวกัน เมื่อแจ้งไปยัง อบต.ปิงหลวง ก็ได้รับคำตอบว่า บริษัทผู้ผลิตจะรับเปลี่ยนให้ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม โรงเรียนยังมีความกังวลว่า เด็กๆควรจะได้ดื่มนมที่มีคุณค่าทางโภชนาการ จึงต้องการสะท้อนปัญหาเพื่อให้มีการตรวจสอบ



ด้านองค์การบริหาร ส่วนตำบลปิงหลวง อ.นาหมื่น จ.น่าน ได้แจ้งให้โรงเรียน 10 แห่ง ซึ่งได้รับสนับสนุนนมโรงเรียนจาก อบต.ปิงหลวง ให้หยุดแจกจ่ายนมแก่นักเรียน แล้วเก็บนมทุกกล่องกลับคืน พร้อมแจ้งไปยังบริษัทผู้ส่งนมแล้ว



*-*

ข่าวทั้งหมด

X