หลังจากที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิจารณาคดีที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และที่ปรึกษากฎหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใดผู้หนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา157 จากกรณีที่เมื่อวันที่ 18มิ.ย.2551 นายนพดล สมัยนั้น ดำรงตำแหน่งเป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศในสมัยรัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช ได้ไปลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ซึ่งสนับสนุนให้กัมพูชา นำปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยที่ไม่ผ่านการพิจารณาของรัฐสภาไทย
ล่าสุดองค์คณะศาลฎีกาฯ พิจารณาแล้วมีมติ 6ต่อ3เสียง ยกฟ้องนายนพดล เนื่องจาก ไม่ได้กระทำผิดตามกฎหมายอาญามาตรา157 เรื่องละเว้นการปฎิหน้าที่ต่อการทุจริต โดยวินิจฉัยว่าหนังสือแถลงการณ์ร่วมนั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสิทธิที่ไทยสงวนไว้ คือ เรื่องประโยชน์การรักษาสิทธิในเขตแดน กับสิทธิการทวงคืนเข้าพระวิหาร อีกทั้ง วินิจฉัยว่าหนังสือแถลงการณ์ร่วมไม่ใช่หนังสือสัญญา หรือสนธิสัญญา จึงไม่อาจบอกได้ว่าจำเลยหลีกเลี่ยงการนำหนังสือไปให้รัฐสภาพิจารณา และอีกทั้งยังไม่ปรากฎหลังฐานว่านายนพดล และพ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับประโยชน์หนังสือสนธิสัญญานี้ หลังจากนี้ศาลได้พิจารณาสั่งให้คืนเงินประกันจำเลย แก่นายนพดล
นายนพดล เปิดเผยภายหลังว่า ตั้งแต่ปี 2551 ตลอด 7ปีที่ผ่านมาชีวิตเหมือนอยู่ในนรก และถูกกล่าวหามาโดยตลอด เมื่อศาลมีคำพิพากษาเช่นนี้จึงขอบคุณในความเป็นธรรม และขอบคุณข้าราชการกระทรวงต่างประเทศที่มาเป็นพยานในคดี ซึ่งคำแถลงการณ์ร่วมแม้ว่าจะถูกโจมตี อย่างไรก็ตามพิสูจน์ได้ว่าคำแถลงการณ์ร่วมสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการสู้คดีที่ศาลโลก นายนพดล มีสีหน้ายิ้มแย้ม ระบุว่า กว่าจะได้รับความยุติธรรมและทำความจริงให้ปรากฎ ทำให้ตัวเองรู้สึกตื้นตันใจที่ได้รับความยุติธรรม โดยจะอโหสิกรรมให้กับทุกคนที่กล่าวหา เช่น คนขายชาติ รัฐมนตรีเขมร ซึ่งจะขอแผ่เมตตาให้กับทุกคน โดยจะไม่นำกรณีดังกล่าวไปหาผลประโยชน์ทางการเมืองหรือฟ้องกลับ คณะกรรมการ ป.ป.ช รวมทั้งกรณีที่ นายสมชาย แสวงการ และนางสาวรสนา โตสิตระกูล กล่าวหาว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนร่วมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ
ผู้สื่อข่าว: วิรวินท์ ศรีโหมด