นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยแคนดิเดตอีก 2 คน คือนายกรณ์ จาติกวณิช และ ดร.การดี เลียวไพโรจน์ ได้ร่วมแถลงวิสัยทัศน์ตอบโจทย์ใหญ่ของประเทศ ภายใต้หัวข้อ “ทำอย่างไรให้ไทยหายจน ด้วยคนทำเป็น”
นายกรณ์ ได้วิเคราะห์ภาพรวมเศรษฐกิจไทยย้อนหลัง 15 ปี ชี้ให้เห็นว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับช่วง15 ปี ที่รัฐบาลในขณะนั้นโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี สามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจจากวิกฤตการเงินโลก ทำให้จีดีพีจากติดลบกลับมาเติบโตได้กว่า 7% ภายในเวลาเพียง 1 ปี และตลาดหุ้นฟื้นตัวอย่างก้าวกระโดด แต่ในช่วงหลายปีหลัง เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำ เฉลี่ยเพียงราว 2% ต่อปี ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนติดลบต่อเนื่อง กำไรบริษัทจดทะเบียนไม่เพิ่มขึ้น ส่งผลโดยตรงต่อรายได้ประชาชน การจ้างงาน โบนัส และโอกาสขึ้นเงินเดือน
ปัญหาสำคัญที่สะท้อนชัดคือ หนี้ครัวเรือน ซึ่งเพิ่มจากราว 60% ของจีดีพี เป็นเกือบ 90% และยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับนานาประเทศ ทั้งที่รายได้ประชาชนยังไม่สูง โดยหนี้ส่วนใหญ่เป็นหนี้เพื่อการบริโภค สะท้อนว่ารายได้ไม่พอกับรายจ่าย สาเหตุหลักมาจากเศรษฐกิจที่ไม่เติบโตตลอด 15 ปีที่ผ่านมา ภาพรวมดังกล่าวสะท้อนความกังวลด้านความเชื่อมั่น อนาคตเศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของประชาชนไทย หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างและแนวทางบริหารเศรษฐกิจอย่างจริงจัง
บทบาทและความน่าเชื่อถือของไทยในเวทีโลก ช่วยให้รัฐบาลสามารถประสานความร่วมมือกับประเทศผู้ผลิตและผู้ซื้อยางพารา จนทำให้ราคายางปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมย้ำว่า พรรคประชาธิปัตย์ยังเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทย และเชื่อว่าสามารถฟื้นบทบาทและสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศบนเวทีโลกได้อีกครั้ง
ด้าน ดร.การดี กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญโจทย์เร่งด่วนหลายด้านที่ไม่อาจรอได้ และล้วนเป็นประเด็นละเอียดอ่อนในการตัดสินใจ โดยเฉพาะโครงสร้างประชากรที่กำลังเปลี่ยนแปลง คนเกิดน้อย ขณะที่ผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ส่งผลให้คนวัยทำงานจำนวนมากต้องแบกรับภาระดูแลทั้งพ่อแม่และลูก ท่ามกลางภาระค่าครองชีพและค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา แม้คนไทยจะทำงานหนักติดอันดับโลก แต่กลับเผชิญความเหนื่อยล้าและความไม่มั่นคงในชีวิต
คำถามสำคัญคือจะทำอย่างไรให้เด็กที่เกิดน้อยลงมีคุณภาพสูงสุด และสามารถเติบโตเป็นทรัพยากรสำคัญของประเทศและของโลกได้ ขณะเดียวกันต้องทำให้ผู้สูงอายุสามารถใช้ชีวิตในอนาคตได้อย่างอิสระ ปลอดภัย ท่ามกลางความท้าทายจากวิกฤตโลกเดือดและภัยพิบัติที่เกิดซ้ำซ้อน ซึ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจ เทคโนโลยี การค้า ค่าเงิน และการลงทุนของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ พร้อมชี้ว่าการขึ้นกำแพงภาษีและการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป
นอกจากนี้ ดร.การดี ยังกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะเอไอ ที่จะเข้ามากระทบต่อรูปแบบการทำงานและตลาดแรงงาน ประเทศไทยต้องเตรียมความพร้อมทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาทักษะของคนทุกช่วงวัย เพื่อให้สามารถปรับตัวและแข่งขันได้อย่างเท่าเทียมในยุคดิจิทัล
นายอภิสิทธิ์ ได้กล่าวว่า ตัวที่จะเป็นคำตอบว่าประเทศไทยจะหายจนได้อย่างไร คือ บ้านเมืองสุจริต เศรษฐกิจดี มีความยุติธรรม เป็นผู้นำในภูมิภาค และรัฐจะเป็นผู้ผลักดัน พร้อมกำหนดเป้าหมายชัดเจนในการทำให้ “ไทยหายจน” ผ่านการออกแบบนโยบายที่ตรวจสอบได้
เป้าหมายสำคัญข้อแรกคือ “บ้านเมืองสุจริต” โดยย้ำว่าการทุจริตไม่เพียงทำให้รัฐสูญเสียงบประมาณ แต่ยังเพิ่มต้นทุนทางเศรษฐกิจ สร้างกฎระเบียบที่ซับซ้อน และบั่นทอนความเชื่อมั่น จนเป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจและการพัฒนาประเทศ พร้อมชี้ว่าไม่มีประเทศใดเจริญได้ หากขาดความโปร่งใสและการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง
เป้าหมายข้อที่สองคือ “เศรษฐกิจดี” นายอภิสิทธิ์ ระบุว่า อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยลดลงจากอดีต เหลือเพียงร้อยละ 2–3 ขณะที่หลายประเทศในอาเซียนเติบโตเกินร้อยละ 5 หากไทยสามารถเร่งการเติบโตได้ จะทำให้รายได้ประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลดีต่อรายได้ประชาชนและรายได้ภาษีของรัฐ
เป้าหมายข้อที่สามคือ “ลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความยุติธรรม” ซึ่งไม่เพียงเกี่ยวข้องกับรายได้ แต่รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม โดยชี้ว่าความเหลื่อมล้ำที่รุนแรงเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ และเป็นชนวนความขัดแย้งในสังคม
นอกจากนี้นายอภิสิทธิ์ ย้ำถึงความจำเป็นที่ประเทศไทยต้องกลับมามีบทบาทนำในภูมิภาค เพื่อรับมือปัญหาข้ามพรมแดน อาทิ อาชญากรรมออนไลน์ ยาเสพติด และการค้ามนุษย์ พร้อมเสนอให้ไทยใช้บทบาทผู้นำอาเซียน เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองกับมหาอำนาจและบรรษัทข้ามชาติ
หากได้เข้าบริหารประเทศ จะกำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจนในการตรวจสอบผลลัพธ์ อาทิ การเติบโตทางเศรษฐกิจ ความสามารถในการแข่งขัน ความโปร่งใส และต้นทุนการทำธุรกิจ เพื่อให้ประชาชนติดตามและประเมินได้ว่าการทำงานบรรลุเป้าหมาย “ไทยหายจน” อย่างแท้จริง โดยมีนโยบาย 27 ข้อ ให้ติดตามได้หลังจากนี้
ภายหลังการแสดงวิสัยทัศน์นายอภิสิทธิ์ พร้อมด้วยนายกรณ์ และ ดร.การดี ได้อวยพรปีใหม่ให้กับประชาชนโดยพูดพร้อมกันว่า “2569 ปีใหม่ขอให้ไทยหายจน
ข่าวทั้งหมด