มาเลเซียเตือนผลกระทบลุกลาม ขอให้อาเซียนร่วมปกป้องสันติภาพ หลังไทย-กัมพูชาตึงเครียด

วันนี้, 15:05น.


          นายโมฮัมหมัด ฮาซัน รัฐมนตรีต่างประเทศของมาเลเซียในฐานะประธานกลุ่มอาเซียน กล่าวเปิดการประชุมวาระพิเศษของรัฐมนตรีต่างประเทศของกลุ่มอาเซียนในกรุงกัวลาลัมเปอร์ในวันนี้(22 ธ.ค.)เพื่อหารือสถานการณ์ในปัจจุบันระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งมีความตึงเครียดจากข้อพิพาทเรื่องชายแดน นายโมฮัมหมัดกล่าวว่า อาเซียนต้องทำทุกวิถีทางที่จำเป็น เพื่อรักษาสันติภาพและความมั่นคงของภูมิภาค โดยเฉพาะสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ซึ่งการแก้ไขปัญหาจะต้องเกินกว่าเพียงลดความขัดแย้ง



          มาเลเซีย เชื่อว่าจะต้องเร่งสร้างความไว้วางใจระหว่างฝ่ายที่ขัดแย้ง และเปิดช่องทางสำหรับการเจรจาไว้ แม้ว่าจะมีความเห็นที่แตกต่างกัน ย้ำว่าความมั่นคงของภูมิภาคยังคงถือเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของสมาชิกกลุ่มอาเซียนและแนวของอาเซียนควรยึดบทเรียนจากอดีตที่อาศัยภูมิปัญญา ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและความไว้ใจกัน ซึ่งช่วยทำให้กลุ่มอาเซียนผ่านพ้นวิกฤตต่างๆมาได้ ย้ำว่า อาเซียนและโลกเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด



          แม้ว่าความสั่นคลอนด้านความมั่นคงเป็นเรื่องภายในของกลุ่มอาเซียน แต่เป็นเรื่องที่ประชาคมโลกรู้สึกเป็นกังวล คือเหตุผลที่ทั้งสองฝ่ายควรจะยุติการสู้รบและแก้ไขปัญหาอย่างสันติเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วนที่สุด ในสายตาชาวโลก เราได้เติบโตและเจริญรุ่งเรืองมาแล้วและในสายตาชาวโลกเช่นกัน เราต้องก้าวข้ามความท้าทายของเราให้ได้



           นายโมฮัมหมัดแสดงความเสียใจที่มีพลเรือนเสียชีวิตจากการสู้รบ พร้อมย้ำว่านายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิมของมาเลเซียพยายามจะช่วยหาทางออกอย่างมิตรไมตรี โดยการติดต่อพูดคุยกับผู้นำของกัมพูชาและประเทศไทย นำไปสู่การทำข้อตกลงหยุดยิงเมื่อวันที่ 28 ก.ค.และต่อมา มีการลงนามในปฎิญญาสันติภาพกรุงกัวลาลัมเปอร์เมื่อวันที่ 26 ต.ค. ขอให้ทั้งสองฝ่ายทำตามรายละเอียดของข้อตกลงทั้งสองฉบับให้ครบทุกข้อและทำเต็มที่



          ที่ผ่านมา นายอันวาร์ได้ติดต่อสื่อสารกับผู้นำอื่นๆของกลุ่มอาเซียน เพื่อแสวงหาแนวทางการคลี่คลายปัญหาโดยเร็ว หวังว่ากัมพูชาและประเทศไทยจะแสดงความพร้อมในการเจรจา ใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหาพิพาทและรู้จักให้เกียรติกันเพื่อช่วยคลี่คลายความตึงเครียดในพื้นที่ชายแดน รักษาสันติภาพและความมั่นคงของภูมิภาค



#อาเซียน



#ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ



ที่มา: เบอร์นามานิวส์

ข่าวทั้งหมด

X