สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน ประกาศตัวเลขเศรษฐกิจในเดือนพ.ย.แสดงถึงการชะลอตัวทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน เพิ่มความท้าทายให้กับคณะผู้กำหนดนโยบายเศรษฐกิจจีนจะต้องหาวิธีการใหม่ๆในการขับเคลี่อนเศรษฐกิจซึ่งซึ่งมีมูลค่า 19 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
โดยเฉพาะการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนพ.ย.เติบโตร้อยละ 4.8 เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.2567 อีกทั้ง ชะลอตัวจากร้อยละ 4.9 ในเดือนต.ค.และต่ำกว่าตัวเลขที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้คือ ร้อยละ 5 ขณะที่ตัวเลขค้าปลีก ซึ่งเป็นตัวชี้วัดการบริโภคในประเทศ เติบโตเพียงร้อยละ 1.3 ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2565 อีกทั้งต่ำกว่าร้อยละ 2.9 ในเดือนต.ค.และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ร้อยละ 2.8
นายซู เทียนเฉิน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจากบริษัทวิจัยตลาด อีโคโนมิสต์ อินเทลลิเจนท์ ยูนิต(Economist Intelligence Unit) ตั้งข้อสังเกตว่า ภาวะการชะลอตัวของจีน เป็นผลจากมาตรการให้เงินอุดหนุนของรัฐ เพื่อจูงใจผู้บริโภคให้นำสินค้าเก่ามาแลกซื้อสินค้าใหม่เริ่มอ่อนแรง, วิกฤตที่ยืดเยื้อในภาคอสังหาริมทรัพย์ และการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมที่เสี่ยงทำให้เกิดภาวะเงินฝืดเพิ่มขึ้น ทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลจีนให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการส่งออกเพื่อขับเคลี่อนเศรษฐกิจจีนให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
แต่กลยุทธ์นี้ ดูเหมือนจะไม่มีความยั่งยืนในระยะยาวเนื่องจากหุ้นส่วนการค้าทั่วโลกของจีน รวมถึงสหรัฐฯ ฝรั่งเศสและเม็กซิโก เริ่มไม่พอใจที่จีนได้เปรียบดุลการค้ามากถึง 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ และเริ่มมองหาวิธีตั้งกำแพงกีดกันทางการค้ากับจีนมากขึ้น
สอดคล้องกับนักเศรษฐศาสตร์จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(IMF) เสนอแนะให้จีนให้ความสำคัญกับเรื่องการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจ รวมถึงการแก้ไขปัญหาวิกฤตในภาคอสังหาริมทรัพย์ ลดหนี้สาธารณะ กระตุ้นการลงทุนจากเอกชน ส่งเสริมการบริโภคในประเทศ เพิ่มสวัสดิการสำหรับแรงงาน และปรับนโยบายเกี่ยวกับการผลิตและการส่งออกสินค้าให้อยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสม จะช่วยให้เศรษฐกิจจีนเติบโตในระยะยาว
#เศรษฐกิจจีนชะลอตัว
ที่มา: รอยเตอร์
ข่าวทั้งหมด