*กรมชลฯส่งน้ำเข้านาข้าวตั้งท้องที่อยุธยาแห่งแรก หลังฝนตกเติมน้ำในเขื่อน*

การส่งน้ำช่วยพื้นที่การเกษตรในลุ่มเจ้าพระยา  นายสุเทพ น้อยไพโรจน์ รองอธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า กรมชลฯ ได้พิจารณาการส่งน้ำให้พื้นที่การเกษตรในลุ่มเจ้าพระยา 22 จังหวัด ตามแผนที่กำหนดไว้ว่า นาข้าวที่กำลังตั้งท้อง ซึ่งปลูกในช่วงต้นเดือน พ.ค.ตามคำแนะนำของกรมชลฯ จะได้รับน้ำก่อน ซึ่งได้เริ่มปล่อยน้ำแล้วช่วงเย็นวันนี้ (21ก.ค.) จากแม่น้ำเจ้าพระยาเข้าสู่แม่น้ำน้อย ในอัตรา 5 ลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.)ต่อวินาที เป็นแห่งแรก เนื่องจากกรมชลฯ ได้รับหนังสือจาก ผวจ.พระนครศรีอยุธยา เข้ามาเป็นจังหวัดแรก ที่ยืนยันพื้นที่ปลูกของตัวเองชัดเจนว่ามีนาข้าวตั้งท้องรอความช่วยเหลือ หากจังหวัดใดยืนยันข้อมูลนาข้าวของตัวเอง จะได้รับน้ำทันที

หลักการบริหารน้ำจืด และน้ำเขื่อนที่มีอยู่ขณะนี้ยังเหมือนเดิม คือ มุ่งเน้นให้ประชาชนมีน้ำกินน้ำใช้เป็นหลักก่อน ส่วนพื้นที่การเกษตร จะได้รับน้ำก็ต่อเมื่อมีปริมาณน้ำจากฝนเข้ามาเติมในระบบ ขอให้ช่วยกันสังเกตระดับน้ำเจ้าพระยา ที่บริเวณหน้าเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท น้ำจะต่ำกว่า 13.5 เมตรระดับน้ำทะเลปานกลาง(รทก.) ไม่ได้ เพราะจะกระทบน้ำกิน แต่โชคดีเมื่อวันที่ 20 ก.ค.  น้ำเจ้าพระยาสูงถึง 14.07 เมตร รทก. ปลอดภัยสำหรับน้ำกินแล้ว จึงสามารถส่งให้แก่พื้นที่เกษตรได้ โดยเฉพาะอันดับแรก คือ นาข้าวที่กำลังตั้งท้อง ซึ่งมีประมาณ 1.36 ล้านไร่ จากนาลุ่มเจ้าพระยาที่ลงมือปลูกแล้วทั้งหมดประมาณ 4.8 ล้านไร่ แต่ถ้าน้ำหน้าเขื่อนเจ้าพระยาต่ำกว่าที่กำหนดเมื่อใด ก็จะหยุดส่งน้ำเพื่อการเกษตรอีกครั้ง

สำหรับสถานการณ์น้ำในเขื่อนหลักของลุ่มเจ้าพระยา 4 แห่ง ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ แควน้อยบำรุงแดน และป่าสักชลสิทธิ์ ปริมาณน้ำไม่ขาดทุน มีน้ำไหลเข้ามาเติมเขื่อน และน้ำที่ระบายออกปริมาณใกล้เคียงกัน ประมาณ 20 ล้าน ลบ.ม. เนื่องจากฝนที่เริ่มตกลงมามากขึ้น ขณะเดียวกันปริมาณน้ำในลำน้ำเจ้าพระยาเริ่มเพิ่มขึ้นที่ จ.นครสวรรค์ เพิ่มขึ้นประมาณ 6 ลบ.ม.ต่อวินาที ค่าความเค็มท้ายน้ำเจ้าพระยาลดลงต่อเนื่อง แม้มีบางช่วงจะสูงกว่า 0.5 กรัมต่อลิตร ซึ่งกระทบกับการผลิตน้ำประปา แต่ก็เป็นเวลาสั้นๆ ในแต่ะวัน จึงไม่มีผลกระทบ ซึ่งปริมาณน้ำฝนที่เข้ามาเพิ่มขณะนี้ ดีกว่าแบบจำลองกรณีเลวร้ายที่สุดที่ประเมินไว้ สบายใจได้ระดับหนึ่ง แต่ยังต้องติดตามฝนอย่างใกล้ชิดในเดือน ส.ค.นี้ อีกครั้ง

ด้าน นายโอฬาร พิทักษ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า พื้นที่ที่อยู่ในขั้นวิกฤติ เป็นนาข้าวตั้งท้อง รวมกว่า 1 ล้านไร่  อยู่ในเขตชลประทาน 7 แสนไร่ จะให้เจ้าหน้าที่เกษตร ลงพื้นที่กับเจ้าหน้าที่ชลประทานจังหวัด และฝ่ายความมั่นคง เพื่อวางแผนจัดสรรน้ำ และช่วยเหลือโดยด่วน ทั้งนี้พื้นที่นาข้าวตั้งท้อง ทั้งในและนอกเขตชลประทาน ส่วนใหญ่อยู่ใน จ.นครสวรรค์