นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นำแถลงผลการปฏิบัติการ ‘ยุทธการตัดหมอกเวียงแหง’ โดยกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ร่วมกับภาคีเครือข่าย ว่า จากกรณีเรียกรับผลประโยชน์คนต่างด้าวเข้าเมืองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือที่สื่อมวลชนเรียกว่า ‘ส่วยสัญชาติ’ บ่อนทำลายหลักนิติรัฐ นิติธรรม และเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ จึงได้สั่งการให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดการตรวจสอบและแก้ไขปัญหาโดยทันที โดยมีกรมการปกครอง กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) บูรณาการเปิดปฏิบัติการ ‘ตัดหมอกเวียงแหง’ เพื่อตรวจสอบปฏิบัติการขบวนการทุจริตที่เกี่ยวข้องกับการให้สิทธิอาศัยถาวรแก่คนต่างด้าวโดยมิชอบ และได้ทำการสืบสวนขยายผลโดยพบว่า ขบวนการนี้มีการเชื่อมโยงกับกลุ่มจีนเทาซึ่งเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการเร่งรัด ให้สัญชาติไทยแก่กลุ่มเป้าหมาย 480,000 คน ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์และชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่ในไทยมานาน รวมถึงบุตรที่เกิดในไทยเรื่องสัญชาติดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงที่ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในคณะรัฐมนตรีชุดที่ 64 และในช่วงที่เป็นการเริ่มขบวนการยื่นขอสถานะที่ทำให้เกิดเหตุนี้ขึ้น มันเกิดขึ้นในช่วงที่ตนพ้นจากระยะเวลาการดำรงตำแหน่งไประยะเวลาหนึ่ง แต่เมื่อกลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้งรวมถึงเป็น’นายกรัฐมนตรี’ จึงได้ให้กรมการปกครองเร่งดำเนินการตรวจสอบและเอาผิดต่อผู้กระทำผิดโดยเร็วที่สุด เเช่นกรณีที่อำเภอฝาง ที่มีผู้ใหญ่บ้านเรียกรับเงินจากผู้มีสิทธิ ซึ่งปัจจุบันบุคคลนั้นก็ถูกไล่ออกจากราชการและดำเนินคดีแล้ว
ถือเป็นความน่าอับอายและเลวร้ายยิ่ง เพราะกระบวนงานนี้มีเจ้าหน้าที่รัฐบางรายมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย โดยได้หาผลประโยชน์จากสิทธิของประชาชนกลุ่มเปราะบางที่มีกว่า 4.8 แสนคน ที่รอคอยสถานะทางกฎหมายและสัญชาติไทย หลายคนรอระยะเวลา 30-40 ปี ทั้งที่ประเทศไทยได้รับการชื่นชมจาก UNHCR ในการยุติสถานะไร้รัฐไร้สัญชาติ แต่กลับมีผู้ฉวยโอกาสหาประโยชน์จากความเดือดร้อนของประชาชนกลุ่มนี้ ถือเป็นการใช้ช่องว่างของระบบทะเบียนราษฎร และยังเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มจีนเทา ‘นี่คือเรื่องที่ยอมรับไม่ได้โดยเด็ดขาด’ เพราะเป็นการเปิดทางให้อาชญากรรมข้ามชาติและธุรกิจผิดกฎหมายเข้ามาปลอมแปลงตัวตนและมีผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงของประเทศ ซึ่งรัฐบาลจะทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้เกิดสิ่งเหล่านี้
จากข้อมูลของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่ร่วมบูรณาการการทำงานสอบสวนพบว่าที่ ‘อำเภอเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่’ เป็นพื้นที่ที่มีการกระทำการทุจริตลักษณะนี้มาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ปี 2554 โดยได้มีการจับกุมปลัดอำเภอในคดีลักษณะเดียวกันนี้ บางคนถูกลงโทษจำคุก 5 ปี รวมถึงคดีในปี 2563 แต่สุดท้ายแม้ว่าจะมีสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ผู้ที่เกี่ยวข้องได้ถูกลงโทษออกจากราชการแล้ว ก็ยังมีเหตุเกิดขึ้นมาอีกในปีนี้ และนี่คือเหตุผลที่กระทรวงมหาดไทยจึงได้ขอความร่วมมือไปยังหน่วยงานทำการ ล้างบางให้สิ้นซาก ไม่ให้เกิดการทำผิดซ้ำขึ้นมาอีก
การจับกุมครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่กระทรวงมหาดไทยออกหมายจับนายอำเภอ ซึ่งเป็นหัวหน้าส่วนราชการระดับอำเภอ ในสังกัดกรมการปกครอง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบที่ต้องทุ่มเทเสียสละ และควรจะมีอนาคตที่เจริญก้าวหน้าในหน้าที่ราชการต่อไป แต่กลับเห็นผิดเป็นชอบและเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเพียงเล็กน้อยนี้ ดังนั้น กระทรวงมหาดไทยจึงได้ออกหมายจับนายอำเภอคนนี้ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตระบบทะเบียนราษฎร เพื่อสะท้อนให้เห็นเจตนารมณ์อันชัดเจนของรัฐบาลว่า ‘เรามีความตั้งใจจริงที่จะไม่ปกป้องคนผิด และปราบปรามกระบวนการที่ก่อให้เกิดความเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ไม่ว่าเขาจะอยู่ตำแหน่งหรือสถานะใดก็ตาม’ เพราะมักจะมีคนบอกว่า ถ้าคนกระทำผิดมีตำแหน่งแห่งหน มีอำนาจ มีคนความใกล้ชิดกับบุคคลที่มีบารมี มีอำนาจสูง มักจะได้รับการอำนวยความสะดวก และบรรเทาคดี แต่ขอยืนยันว่า ในรัฐบาลชุดนี้ หน่วยงานราชการที่มาเกี่ยวข้องกับเรื่องการป้องกันและปราบปรามและสร้างความมั่นคงให้กับบ้านเมืองและรักษากฎหมาย ไม่ข้องแวะกับเรื่องเหล่านี้เด็ดขาด และในฐานะนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยขอยืนยันว่า จะเดินหน้าแก้ไขปัญหาเช่นนี้ต่อไป เพื่อความมั่นคง ทำบ้านเมืองของเราให้สะอาด ฟื้นฟูความเชื่อมั่นของพี่น้องประชาชน ปกป้องความมั่นคงของประเทศไทยอย่างเต็มกำลัง
ผลการปฏิบัติ ‘ยุทธการตัดหมอกเวียงแหง’ เกิดจากการสืบสวนของกรมการปกครองร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงาน ป.ป.ช. สำนักงาน ป.ป.ท. และ DSI โดยขออนุมัติหมายจับจากศาลเพื่อจับกุมบุคคล จำนวน 28 ราย โดยจับได้ทั้งหมด 12 ราย ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ของรัฐและบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้อง 10 ราย กลุ่มนายหน้า 1 ราย และบุคคลต่างด้าว 1 ราย และยึดของกลางจำนวนมาก โดยพบว่า ยังเชื่อมโยงกับคดีในพื้นที่ปทุมธานีที่มีการโฆษณารับทำบัตรประจำตัวประชาชนผ่านแพลตฟอร์ม 'เสี่ยวหงชู (XiaoHongShu)' ของจีนที่มีมูลค่าความเสียหายนับพันล้านบาท โดยสำหรับเหตุการณ์ในพื้นที่ อ.เวียงแหง ได้ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ของรัฐกลุ่มนายหน้าและคนต่างด้าว ในความผิดฐานร่วมกันกระทำการเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นมีชื่อหรือมีรายการในทะเบียนบ้านหรือเอกสารการทะเบียนราษฎรอื่นโดยมิชอบ ตามมาตรา 50 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ.2534 และเป็นเจ้าพนักงานทำเอกสารเท็จและเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต ตามมาตรา 162 และมาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
#ยุทธการตัดหมอกเวียงแหง
#ส่วยสัญชาติ
#มหาดไทยออกหมายจับนายอำเภอ
#อำเภอเวียงแหง
Cr:กรมการปกครองกระทรวงมหาดไทย
ข่าวทั้งหมด