พญ.จุไร วงศ์สวัสดิ์ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ โฆษกกรมควบคุมโรค และ นพ.วีรวัฒน์ มโนสุทธิ นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ โฆษกกรมควบคุมโรค แถลงข่าวหัวข้อ “พฤศจิกานี้สุขภาพดี แข็งแรงทุกวัย ใส่ใจสุขภาพ” เพื่อติดตามสถานการณ์โรคสำคัญที่ต้องเฝ้าระวังในช่วงอากาศหนาว พร้อมให้คำแนะประชาชนในการดูแลสุขภาพ ป้องกันโรคและภัยสุขภาพที่พบบ่อยในช่วงนี้ โดย 5 อันดับโรคที่พบผู้ป่วยมากที่สุดในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ได้แก่ โรคไข้หวัดใหญ่ โรคอุจจาระร่วง โรคปอดอักเสบ โรคติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวี อาหารเป็นพิษ และ 5 อันดับโรคที่พบจำนวนอัตราการเสียชีวิตในผู้ป่วยมากที่สุดในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ได้แก่ โรคไข้หูดับ โรคเมลิออยโดสิส โรคเลปโตสไปโรสิส (ไข้ฉี่หนู) โรคสครับไทฟัส โรคไข้เลือดออก
พญ.จุไร กล่าวว่า สถิติโรคไข้หวัดใหญ่ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 14 พฤศจิกายน 2568 ผู้ป่วยสะสม 940,869 ราย เสียชีวิต 100 ราย โดยพบผู้ป่วยสูงขึ้นในเดือนตุลาคม 208,443 ราย เดือนพฤศจิกายนมีแนวโน้มลดลง แต่ยังคงพบการระบาดเป็นกลุ่มก้อนมากขึ้น โดยเฉพาะในเรือนจำ สถานศึกษา และศูนย์ฝึกอบรมฯ ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเด็กอายุ 5 – 9 ปี โดยกลุ่มอายุที่เสียชีวิตมากที่สุดคือผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และมีโรคประจำตัว เช่น โรคไต โรคหลอดเลือดหัวใจ ความดันโลหิตสูง วัณโรคปอด โรคหลอดเลือดสมอง เป็นต้น ส่วนสายพันธุ์ที่พบมากที่สุดคือ A/H3N2 แนะนำ 7 กลุ่มเสี่ยง รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ทุกปี เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันและลดความรุนแรงของโรค
2.โรคปอดอักเสบ ผู้ป่วยสะสม 397,147 ราย เสียชีวิต 695 ราย มีแนวโน้มลดลง แต่ยังคงต้องเฝ้าระวังในช่วงอากาศหนาว โดยกลุ่มอายุที่พบผู้ป่วยและเสียชีวิตมากที่สุดคือผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป
3.โรคติดเชื้อไวรัสอาร์เอสวี (RSV) ผู้ป่วยสะสม 41,995 ราย เสียชีวิต 8 ราย ช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา มีแนวโน้มลดลง ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี อาการของผู้ป่วยที่ติดเชื้อ RSV มีอาการเริ่มต้นคล้ายไข้หวัด มีไข้ ไอ จาม มีน้ำมูก ต่อมาอาจมีอาการรุนแรงไอแรง หอบเหนื่อย หายใจมีเสียงหวีด หรือเสียงครืดคราดในลำคอ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวโรคปอด โรคหัวใจ โรคติดเชื้อไวรัส RSV ติดต่อได้จากละอองเสมหะของผู้ป่วยที่ติดเชื้อ RSV และการสัมผัสสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น โต๊ะ เก้าอี้ ลูกบิดประตู ของเล่น ฯลฯ โดยเชื้อจะมีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานหลายชั่วโมง มีระยะฟักตัว 2 – 8 วัน การรักษาเป็นตามอาการ เนื่องจากยังไม่มียาต้านไวรัสเฉพาะ ปัจจุบันมีวัคซีนสำหรับผู้สูงอายุ กลุ่มเสี่ยงและหญิงตั้งครรภ์ รวมถึงภูมิคุ้มกันสำเร็จรูปป้องกันในเด็กเล็กและกลุ่มเสี่ยง สามารถปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้
การป้องกันสำหรับโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจแนะประชาชนล้างมือบ่อย ๆ ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกัน และปิดปาก-จมูกเมื่อไอจาม พร้อมหลีกเลี่ยงสถานที่แออัดหรือสวมหน้ากากอนามัยหากเลี่ยงไม่ได้ ผู้ที่มีไข้ ไอ น้ำมูก ควรเว้นระยะห่างจากผู้อื่น โดยเฉพาะเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัว หากมีอาการหอบเหนื่อยหรือไอมีเสียงหวีด ให้รีบพบแพทย์ทันที และควรแยกผู้ป่วยออกจากผู้อื่น
4.โรคหัด ปี 2568 พบมีการระบาดในหลายประเทศทั่วโลก สำหรับประเทศไทยมีรายงานผู้ป่วยไข้ออกผื่นสะสม 1,928 ราย เป็นผู้ป่วยยืนยันหัดหรือมีความเชื่อมโยงทางระบาด 511 ราย หรือร้อยละ 26.5 ในเดือนกันยายน – ตุลาคม 2568 พบผู้ป่วยสงสัยหัด 46 ราย กระจายทั่วประเทศ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอายุต่ำกว่า 5 ปี และในผู้ใหญ่ ผู้ป่วยสามารถแพร่เชื้อทางละอองผ่านทางการหายใจได้ตั้งแต่ 4 วันก่อนผื่นขึ้นถึง 4 วันหลังมีผื่น จึงควรแยกผู้ป่วยออกจากผู้อื่นทันที โรคหัดยังไม่มียาต้านไวรัสจำเพาะ จึงเป็นการรักษาตามอาการ แนะประชาชน พาบุตรหลานเข้ารับวัคซีนรวมป้องกันโรคหัด คางทูม และหัดเยอรมัน (MMR) ซึ่งเป็นวัคซีนหลักในเด็ก โดยให้เข็มแรกเมื่ออายุ 9 – 12 เดือน และเข็มที่สองเมื่ออายุ 1 ปี 6 เดือน หลีกเลี่ยงสถานที่แออัดในพื้นที่ระบาด สวมหน้ากาก ล้างมือ และเว้นระยะห่างเพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้อ สำหรับผู้ที่เดินทางกลับจากประเทศที่มีการระบาดของโรค เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา สหราชอาณาจักร เนเธอแลนด์ ออสเตรเลีย เวียดนาม กัมพูชา ฟิลิปปินส์ และสปป.ลาว หากมีไข้ ผื่น ตาแดง น้ำมูกไหล หรือพบจุดขาวในกระพุ้งแก้ม ให้รีบพบแพทย์ แจ้งประวัติการเดินทาง และสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
5.โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน ผู้ป่วยสะสม 735,188 ราย เสียชีวิต 9 ราย แนวโน้มผู้ป่วยคงที่ใกล้เคียงปี 2567 โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี โดยกลุ่มอายุที่เสียชีวิตมากที่สุดคือผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป แนะประชาชนยึดหลัก “สุก ร้อน สะอาด” ปรุงอาหารสุกใหม่ แยกเก็บอาหารสุกและดิบในอุณหภูมิที่เหมาะสม อาหารปรุงสุกเก็บเกิน 2 ชั่วโมงควรอุ่นร้อนก่อนกิน ล้างมือให้สะอาดก่อนจับอาหาร ชงนมเด็ก หลังเข้าห้องน้ำหรือสัมผัสสิ่งสกปรกและสัตว์เลี้ยง เลือกดื่มน้ำต้มสุก หรือน้ำบรรจุขวดมีเครื่องหมาย อย. ปิดสนิท และน้ำแข็งที่สะอาด ไม่มีสี หรือกลิ่นผิดปกติ
6.โรคสครับไทฟัส พบผู้ป่วย 8,144 ราย ผู้เสียชีวิต 9 ราย ผู้ป่วยต่ำกว่าปีที่แล้วเมื่อเทียบกับปี 2567 ในช่วงเวลาเดียวกัน และมีแนวโน้มลดลงตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2568 ผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอายุ 55 – 64 ปี ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร แนะประชาชนหลีกเลี่ยงการเข้าไปในบริเวณหญ้ารก พุ่มไม้หนา สวมเสื้อผ้ามิดชิด ใช้สารกันแมลงพ่นผิวหนังและเสื้อผ้า เมื่อกลับจากทริปเดินป่า ควรรีบอาบน้ำทันทีและนำเสื้อผ้าซักทำความสะอาด หากมีไข้ ปวดเมื่อยตามตัว ไอแห้ง ปวดกระบอกตา ตาแดง มีแผลคล้ายถูกบุหรี่จี้ (eschar) รีบพบแพทย์และรับยารักษา
7.โรคติดเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดกลุ่มอาการไข้สูงและเกล็ดเลือดต่ำ (Severe Fever with Thrombocytopenia Syndrome :SFTS) ปี 2562 – 2568 ผู้ป่วยสะสม 7 ราย ในส่วนของปี 2568 พบผู้เสียชีวิต 3 ราย อายุผู้ป่วยเฉลี่ย 55.7 ปี โรค SFTS เป็นโรคติดต่อระหว่างสัตว์สู่คน เกิดจากการติดเชื้อไวรัส SFTS มีเห็บเป็นพาหะนำโรค และมีโอกาสติดต่อจากคนสู่คน โดยการสัมผัสสารคัดหลั่งผู้ป่วยที่เชื้อไวรัส สัตว์ที่เป็นแหล่งรังโรค ได้แก่ สุนัข แมว แพะ แกะ วัว ควาย หมู ไก่ หนู และสัตว์ป่าชนิดต่าง ๆ แนะประชาชน ห้ามจับและบี้เห็บด้วยมือเปล่า อาบน้ำและใช้ยากำจัดเห็บให้สัตว์เลี้ยงเป็นประจำ ทำความสะอาดที่อยู่สัตว์เลี้ยงและบริเวณบ้านเป็นประจำ หากมีไข้ มีจ้ำเลือดหรือจุดเลือดออกตามตัว ปวดกล้ามเนื้อ อาเจียน ถ่ายเหลว ให้รีบพบแพทย์ทันที หากไม่ได้รับการรักษาอาจเกิดภาวะอวัยวะภายในล้มเหลวและรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิต
8.โรคโปลิโอ ปี 2568 เดือนตุลาคม มีรายงานยืนยันว่าพบผู้ป่วยเชื้อโปลิโอชนิด cVDPV1 ที่ประเทศลาว เพิ่ม 2 ราย ในเด็กที่ไม่มีอาการ และมีความเชื่อมโยงกับผู้ป่วยโปลิโอรายแรกเมื่อเดือนสิงหาคม 2568 โดยประเทศไทยพบผู้ป่วยโปลิโอรายสุดท้ายในปี 2540 ทั้งนี้ โรคโปลิโอเป็นโรคที่เกิดขึ้นในคนเท่านั้น เชื้อจะอาศัยอยู่ในลำไส้และถูกขับออกมาจากอุจจาระของผู้ป่วย ผู้ที่ติดเชื้อส่วนใหญ่มักจะไม่แสดงอาการใด ๆ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย ในกรณีรุนแรงเชื้อไวรัสจะเข้าทำลายระบบประสาทไขสันหลังและสมอง ทำให้เกิดอาการอัมพาตได้
ปัจจุบันโรคโปลิโอยังไม่มียารักษาให้หายขาดเป็นการรักษาตามอาการ แนะผู้ปกครองพาบุตรหลานเข้ารับวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ โดยแนะนำให้รับวัคซีนชนิดฉีด (IPV) จำนวน 2 ครั้ง ในเด็กอายุ 2 และ 4 เดือน และให้วัคซีนชนิดรับประทาน (OPV) จำนวน 3 ครั้ง ในเด็กอายุ 6 เดือน 1 ปี 6 เดือน และ 4 ปี สำหรับเด็กที่ไม่ได้รับวัคซีน หรือได้รับวัคซีนล่าช้า ควรเข้ารับวัคซีนให้ครบเร็วที่สุด ที่สถานบริการสาธารณสุขของรัฐใกล้บ้านทุกแห่ง เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันการเกิดโรค สำหรับผู้ที่ต้องเดินทางไปยังประเทศที่มีการระบาดของโรคโปลิโอ หากมีประวัติรับวัคซีนไม่ครบ แนะนำรับวัคซีนกระตุ้น 1 ครั้ง ก่อนเดินทางอย่างน้อย 4 สัปดาห์
#โรคระบาดหน้าหนาว
#ไข้หวัดใหญ่
Cr:กรมควบคุมโรค
ข่าวทั้งหมด