สถานการณ์ล่าสุดชายแดนไทย-กัมพูชา นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงสถานการณ์ 3 ประเด็น โดยประเด็นแรกพูดถึง การลงพื้นที่ของผู้คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT) วันที่ 17 พฤศจิกายน AOT ได้ลงพื้นที่ช่องอานม้าและพื้นที่สัตตะสมเพื่อตรวจสอบ ในกรณีทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดและได้ตรวจพบทุ่นระเบิดใหม่ในพื้นที่ และวันเดียวกันทาง AOT ได้ลงพื้นที่ เสาธงไชย อำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษและได้ตรวจสอบจุดที่พบทุ่นระเบิดใหม่ที่มีการหยอดกาวเพื่อขัดขวางการถอดสลักทุ่นระเบิด สิ่งนี้สะท้อนถึงท่าทีที่เป็นปฏิปักษ์ของกัมพูชาอย่างชัดเจน และวันที่ 18 พฤศจิกายน คณะ AOT ได้ลงพื้นที่ปราสาทคนา อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ทุ่นระเบิดและการละเมิดข้อตกลงต่างๆของฝ่ายกัมพูชา
ประเด็นที่ 2 การเผยแพร่ข้อมูลเท็จและข้อมูลที่บิดเบือนของฝ่ายกัมพูชา นอกเหนือจากตัวอย่างการเผยแพร่ข่าวปลอมของกัมพูชาที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ทางฝ่ายกัมพูชายังได้มีการเผยแพร่ข้อมูลเท็จและข้อมูลบิดเบือน โดยได้ยกตัวอย่างข่าวปลอมที่ทางฝ่ายกัมพูชาแต่งเรื่องขึ้นมาเพื่อโจมตีประเทศไทย 2 เรื่อง คือการกล่าวหาทหารไทยว่ามีการเตรียมโจมตีพื้นที่จังหวัดโพธิ์สัตว์ โดยทางกองทัพเรือออกมาชี้แจงว่าไม่เป็นความจริง และไม่มีการปะทะใดๆเกิดขึ้น เรื่องต่อมาคือทางฝ่ายกัมพูชาได้กล่าวหาว่า เจ้าหน้าที่ได้ทำร้ายร่างกายและล่วงละเมิดสตรีกัมพูชาที่เป็นผู้ต้องหาหลบหนีเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายที่จ.จันทบุรี
ไทยขอประณามการกล่าวหาดังกล่าวของกัมพูชา ซึ่งจากการตรวจสอบจากทุกหน่วยงาน ยืนยันว่าไม่พบเหตุดังกล่าว และไม่มีทหารหน่วยงานใดกระทำดังตามที่กล่าวอ้าง ยืนยันว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่ไทยเป็นไปตามกฏหมาย ย้ำว่าในการดูแลผู้หลบหนีเข้าเมืองจะมีสักขีพยานดูแลตลอด ยืนยันไทยเคารพ ยึดมั่นตามกฎหมายสากล และสิทธิมนุษยชน ดังนั้นไทยไม่ให้ค่าในข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูล เจตนาร้าย ซึ่งในสถานการณ์ปัจจุบันที่สงครามข่าวสารปะทุขึ้นอีกครั้ง ขอความร่วมมือจากประชาชนให้ความระมัดระวังการบริโภคข่าวสารโดยตรวจสอบข้อมูลได้จากแหล่งข่าวทางการ ขณะเดียวกันขอความร่วมมือสื่อมวลชนตรวจสอบข้อมูลอย่างถี่ถ้วนก่อนมีการเสนอรายงานข่าว เพื่อหลีกเลี่ยงการเผยแพร่คำปลอบและสร้างความเข้าใจและสร้างความเสียหายโดยไม่ได้ตั้งใจ
ประเด็นที่ 3 คือ การประสานงานระหว่างไทยกับสหรัฐ หลังจากการหารือทางโทรศัพท์ระหว่างนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกุล และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน ไทยได้มีการส่งหนังสือเพิ่มเติม 1 ฉบับในวันที่ 18 พฤศจิกายน ถึงประธานาธิปดีสหรัฐ เพื่อย้ำถึงการละเมิดแถลงการณ์ร่วมของกัมพูชา รวมทั้งต้องการให้ไม่ขัดขวางปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดของไทยและแสดงความจริงใจที่จะปฏิบัติตามแถลงการณ์ร่วม เพื่อกลับสู่เส้นทางสันติภาพร่วมกับไทยดังเดิม
ทั้งนี้ ท่าทีของไทยในเรื่องสถานการณ์ไทยกับพูชายกับการเจรจาการค้าไทยสหรัฐยังคงเหมือนเดิม โดยไทยมองว่า 2 ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่แยกออกจากกัน ในขณะที่ประเด็นแรกเป็นเรื่องของความมั่นคง และประเด็นหลังคือเรื่องเกี่ยวกับการค้าทวิภาคีที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกันของไทยกับสหรัฐ และไทยไม่เห็นด้วยกับการนำสองเรื่องนี้มาเกี่ยวข้องกัน แต่หากฝ่ายสหรัฐต้องการจะมีบทบาทในเรื่องนี้ ทางไทยต้องการให้สหรัฐกดดันไปทางฝ่ายกัมพูชาเพื่อให้ปฏิบัติตามแถลงการณ์ร่วมอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ขอให้มั่นใจว่าทุกหน่วยงานของไทยได้ทำงานอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องผลประโยชน์ที่ไทยควรได้รับในทุกมิติ
นายนิกรเดชยังได้ให้ความชัดเจนเกี่ยวกับความคืบหน้าการเจรจาการค้าของภาษีทรัมป์กับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) โดยยืนยันว่านายอนุทินพูดคุยกับทรัมป์ในวันที่ 14 พฤศจิกายน เกี่ยวกับเรื่องการเจรจาการค้าและสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา แต่อะไรเกิดก่อนนั้นตนไม่แน่ใจ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการโทรศัพท์หารือระหว่างผู้นำ เพราะโดยหลักการแล้ว USTR จะต้องฟังนโยบายจากประธานาธิบดี ดังนั้นหนึงสือจึงไม่มีนัยสำคัญ สำหรับไทยสิ่งสำคัญคือการหารือของผู้นำประเทศ และในการพูดคุยก็ไม่ได้คุยเรื่องภาษีอย่างเดียว แต่คุยเรื่องปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งเราได้อธิบายว่าเรามั่นใจว่าไทยไม่ได้เป็นผู้ละเมิดแถลงการณ์ร่วม และคิดว่าสหรัฐอาจจะช่วยกดดันให้กัมพูชาที่เป็นผู้ละเมิดสามารถปฏิบัติตามถ้อยแถลงได้ เราสื่อสารสิ่งสำคัญเรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้เราสามารถกลับมาดำเนินการตามถ้อยแถลงได้ ซึ่งสหรัฐก็จะมีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้ เราจะรู้สึกขอบคุณมากกว่าหากจะเล่นบทสร้างสรรค์ กดดันประเทศที่ละเมิด นั่นคือท่าทีของไทย ซึ่งสหรัฐไม่ได้รับปาก เพียงแต่บอกว่าจะไปคุยให้
ฝ่ายไทยต้องการแยกเรื่องดังกล่าวออกจากกัน และจะดำเนินการเจรจาการค้าตามปกติ อย่างไรก็ดี ฝ่ายไทยยังคงรอคำตอบจากสหรัฐอย่างเป็นทางการ และรอการเจรจาครั้งถัดไปตามวาระปกติของฝ่ายการเจรจา
ข่าวทั้งหมด