นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) นายกอบศักดิ์ ดวงดี เลขาธิการสมาคมธนาคารไทยและ นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ร่วมแถลงข่าว โดยที่ประชุมกล่าวถึง
เศรษฐกิจโลกขยายตัวดีกว่าที่คาด นำโดยเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ขยายตัวดีต่อเนื่องแม้จะเริ่มได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษี โดยล่าสุด IMF ประเมิน GDP โลกปี 2568 โต 3.2% จากเดิมที่คาดไว้ที่ 3.0% ท่ามกลางความเสี่ยงจากนโยบายการค้าโลก ทั้งนี้ เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ขยายตัวดีส่งผลให้แนวโน้มกำรส่งออกไทยในปี 2568 ขยายตัวสูงกว่าที่คาดไว้มาก อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยไม่ได้รับอานิสงส์จาการส่งออกมากนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสินค้าส่งออกของไทยที่ขยายตัวแรงมี Local Content ต่ำ จึงส่งผลต่อ GDP อย่างจำกัด
ตลาดแรงงานที่เปราะบางเป็นปัจจัยท้าทายการปรับตัวของเศรษฐกิจไทย อัตราว่างงานในระบบประกันสังคมล่าสุดในไตรมาส 2/68 แตะ 2.1% สูงสุดในรอบ 2 ปี และอัตราการว่างงานในภาคอุตสาหกรรมและเด็กจบใหม่เร่งตัวจากเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าและการแข่งขันจากต่างประเทศ ซึ่งซ้ำเติมแผลเป็นจากช่วงโควิดที่แรงงานนอกระบบสูงขึ้น กระทบต่อผลิตภาพแรงงาน
คาดเศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวได้ที่ 1.8%-2.2% ตามที่ประเมินไว้เดิมแม้การส่งออกอาจโตได้ประมาณ 9.5%-10.5% แต่เป็นสินค้าที่มี local content ต่ำมาก และทองคำซึ่งไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจจริง ประกอบกับการนำเข้าที่ขยายตัวสูงถึง 10.2% ขณะที่เงินเฟ้อต่ำเพียงราว -0.1% ถึง 0.1% ตามราคาพลังงานที่แผ่วลง อย่างไรก็ดีหากสามารถเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2569 ควบคู่ไปกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจคนละครึ่งพลัส สนับสนุน SMEs และ Made In Thailand ตามแนวทาง Quick Big Win ของรัฐบาล จะเป็นแรงสนับสนุนสำคัญของเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ให้โตได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่โต 2.5%
กรอบประมาณการเศรษฐกิจปี 2568 ของ กกร.
ณ ก.ค. 68 ,GPD 1.5 ถึง 2.0 ,ส่งออก -0.5 ถึง 0.3 ,เงินเฟ้อ 0.5 ถึง 1.0
ณ ส.ค. 68 ,GPD 1.8 ถึง 2.2 , ส่งออก 2.0 ถึง 3.0 ,เงินเฟ้อ 0.5 ถึง 1.0
ณ พ.ย. 68 ,GPD 1.8 ถึง 2.2 , ส่งออก 9.5 ถึง 10.5 ,เงินเฟ้อ -0.1 ถึง 0.1
สมาคมธนาคารไทย ร่วมกับภาครัฐ และบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (NCB) ในการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอยางยั่งยืน ให้ครัวเรือนหลุดพ้นจากกับดักหนี้ โดยยึดลูกหนี้ เป็นศูนย์กลาง (Debtor Centric) ด้วยการรวมศูนย์หนี้ ไปที่บริษัทบริหารสินทรัพย์สิ์ขุมวิท (SAM) สำหรับลูกหนี้รายย่อย ผ่านการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ร่วมทุน (JV AMC) เพื่อแก้หนี้ รายย่อยที่มียอดหนี้ NPL ต่ำกว่า 1 แสนบาท ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทั้งหมด 3.4 ล้านราย คิดเป็นยอดหนี้ รวม 122,000 ล้านบาท พร้อมมีแนวทางในการยกระดบรายได้ โดยมีแรงจูงและให้แต้มต่อเพื่อให้ลูกหนี้ มีความพร้อมและสามารถเข้าสู่ระบกลไกตลาดตามปกติ โดยมีการพัฒนาฐานข้อมูลศักยภาพของลูกหนี้ พร้อมมุ่งเน้นให้มีการรวมประเภทหนี้ ทั้งหมดจากเจ้าหนี้ ทุกประเภทใบอนุญาต ที่เข้ามาในการแก้หนี้ในครั้งนี้
กกร. รับทราบความีหน้าโครงการ 'Reinvent Thailand 'เพื่อยกระดับประเทศไทย โดยมุ่งเน้นขับเคลื่อน 6 อุตสาหกรรม (Priority Sectors) ที่บทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจและการจ้างงาน ได้แก่ 1) เกษตรและอาหาร 2) ยานยนต์ 3) อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (Smart Electronics) 4) สุขภาพและการแพทย์ 5) ท่องเที่ยว และ6) ค้าปลีก โดย กกร. จะมีเจ้าภาพในการผลักดันในแต่ละอุตสาหกรรมพร้อมให้ความสำคัญกับการสร้างความแข็งแกร่งทั้ง Supply Chain และผลักดันการช่วยเหลือในรูปแบบ” พี่ช่วยน้อง “ที่ธุรกิจขนาดใหญ่ช่วยประคอง SMEs อีกทั้ง ยังเชื่อมโยงกับมาตรการช่วยเหลือและโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงการปฏิรูปกฎหมายและกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเสริมศักยภาพความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคธุรกิจ
ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ไม่เห็นด้วยและมีความกังวลกับร่างกฎหมายที่ขาดการประเมินผลกระทบกฎหมาย (Regulatory Impact Assessment: RIA) อย่างรอบด้านและเป็นระบบ โดยเฉพาะร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน ร่างพระราชบัญญัติอากาศสะอาดและร่างพระราชบัญญัติโรงงาน ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทย โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่จะต้องเผชิญกับภาระต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นจากข้อกำหนดทางกฎหมายใหม่นอกจากนี้ ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติและลดความน่าสนใจของประเทศไทยในการดึงดูดการลงทุนใหม่ ดังนั้น กกร. จึงเห็นว่าการจัดทำกฎหมายที่มีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจในวงกว้างต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ โปร่งใส เปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบโดยตรง พร้อมจัดทำการประเมินผลกระทบกฎหมาย (RIA) ที่เป็นไปตามมาตรฐานสากล เพื่อให้กฎหมายมีความสมดุลระหว่างการคุ้มครองและการรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว
ที่ประชุม กกร. มีมติสนับสนุนแนวทางดำเนินงานของภาครัฐในการจัดทำร่างพระราชบัญญัติยกระดับการบริหารงานภาครัฐให้มีความทันสมัย พ.ศ. .... เพื่อปลดล็อกข้อจำกัดระบบราชการให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงและตอบสนองความต้องการประชาชนได้ทันเวลา พร้อมทั้งสนับสนุนการขับเคลื่อน ร่างพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตและการให้บริการแก่ประชาชนพ.ศ. .... (ร่างฯ พ.ร.บ.อำนวยความสะดวกฯ ฉบับใหม่) ให้มีผลใช้บังคับ รวมไปถึงสนับสนุนแนวทางปรับปรุงกฎหมายที่เป็นอุปสรรคในการประกอบธุรกิจ (Regulatory Guillotine) เพื่อยกระดับการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจและการให้บริการประชาชนไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลด้านการบริหารภาครัฐและการปฏิรูปกฎหมายโดย กกร. จะดำเนินการร่วมกับรองนายกรัฐมนตรี ศาสตราจารย์กิตติคุณ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ อย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรม
ข้อมูลเพิ่มเติม https://shorturl.asia/7q0M2
#ประชุมกกร