สภาทองคำโลก (World Gold Council: WGC) เปิดเผยรายงานแนวโน้มความต้องการทองคำประจำไตรมาส 3/68 โดยระบุว่า ประเทศไทยมีความต้องการทองคำแท่ง และเหรียญทองคำเพื่อการลงทุนสูงที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 62 ขณะที่ความต้องการทองคำโดยรวมทั่วโลกจากทุกภาคส่วน (ซึ่งรวมถึงการซื้อขายนอกตลาดหลักทรัพย์ หรือ Over-the-counter: OTC) รายไตรมาสนั้นอยู่ที่ 1,313 ตัน หรือ 1.46 แสนล้านเหรียญสหรัฐ และเป็นไตรมาสที่มีความต้องการสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์
	          การเติบโตที่สูงของความต้องการทองคำโดยรวมทั่วโลกจากทุกภาคส่วน เกิดจากความต้องการด้านการลงทุนที่เพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 3 แตะระดับ 537 ตัน โดยเพิ่มขึ้น 47% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และคิดเป็น 55% ของความต้องการทองคำสุทธิทั้งหมด อัตราการเติบโตในอุปสงค์ทองคำได้รับแรงส่งจากปัจจัยหลายด้าน ทั้งสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่มีความผันผวน การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ และปรากฏการณ์ "FOMO" หรือความกลัวที่จะพลาดโอกาส ของนักลงทุนในช่วงที่ราคาปรับตัวสูงขึ้น
	          ในทางกลับกัน ความต้องการทองคำเครื่องประดับได้รับผลกระทบจากราคาทองคำที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 50 ครั้งในปีนี้ ส่งผลให้การบริโภคในไตรมาส 3 ลดลง 19% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แม้ว่าตลาดผู้บริโภครายใหญ่อย่างอินเดียและจีนจะมีการฟื้นตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
	           สมาคมค้าทองคำ ประกาศราคาทองวันจันทร์ที่ 3 พ.ย. 2568 ปิดตลาดบวก 100 บาทจากการเคลื่อนไหวทั้งหมด 24 ครั้ง ส่งผล
	+++ทองคำแท่ง รับซื้อคืน 61,400.00 บาท/บาททองคำแท่ง ขายออก 61,500.00 บาท/บาททองคำ
	+++ทองรูปพรรณ รับซื้อคืน 60,170.04 บาท/บาททองรูปพรรณ ขายออก 62,300.00 บาท/บาททองคำ
	+++ทอง 1 สลึง ราคารวมค่ากำเหน็จ อยู่ที่ 16,175 บาท
	+++ทอง 2 สลึง ราคารวมค่ากำเหน็จ อยู่ที่ 31,550 บาท
	 
 ข่าวทั้งหมด