คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด มีมติ 10-2 ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น ร้อยละ 0.25 สู่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมวันนี้ (29 ต.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น เป็นไปตามการคาดการณ์ของตลาด นายสตีเฟน มิแรน หนึ่งในสมาชิกคณะกรรมการผู้ว่าการเฟด โหวตสวนมติในที่ประชุม FOMC ในวันนี้ โดยเขาลงมติให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมวันนี้ ขณะที่นายเจฟฟรีย์ ชมิด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ มีมติให้เฟดคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.00-4.25%
นอกจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยแล้ว เฟดยังได้ประกาศว่าจะยุติการลดขนาดงบดุล หรือยุติการใช้นโยบาย "คุมเข้มเชิงปริมาณ" (Quantitative Tightening) หรือ QT ในวันที่ 1 ธ.ค.
ทั้งนี้ การยุตินโยบาย QT จะถือเป็นการผ่อนคลายนโยบายการเงินของเฟด
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 14 ต.ค.ที่ผ่านมา นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด กล่าวว่า เฟดอาจใกล้ถึงจุดที่จะยุติการลดขนาดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ โดยในการกล่าวสุนทรพจน์ต่อที่ประชุมของสมาคมเศรษฐศาสตร์ธุรกิจแห่งชาติสหรัฐ (NABE) ที่เมืองฟิลาเดลเฟีย นายพาวเวลกล่าวถึงท่าทีล่าสุดของเฟดเกี่ยวกับการใช้นโยบาย QT ซึ่งเป็นกระบวนการลดการถือครองสินทรัพย์ในงบดุลของเฟดที่มีมูลค่ามากกว่า 6 ล้านล้านดอลลาร์
แม้ประเด็นเรื่องงบดุลถือเป็นรายละเอียดเชิงเทคนิคในนโยบายการเงิน แต่ก็มีความสำคัญต่อตลาดการเงิน เพราะเมื่อสภาพคล่องในตลาดตึงตัว เฟดจะมุ่งให้เกิดภาวะ "ทุนสำรองในระดับสูง" เพื่อให้ภาคธนาคารมีสภาพคล่องเพียงพอในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป เฟดก็จะปรับลดสู่ภาวะ "ทุนสำรองเพียงพอ" เพื่อป้องกันไม่ให้มีเงินทุนล้นระบบเกินไป
ในช่วงการระบาดของโควิด-19 เฟดได้เข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (MBS) เป็นจำนวนมาก ส่งผลให้งบดุลของเฟดพุ่งขึ้นเกือบ 9 ล้านล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ดี นับตั้งแต่กลางปี 2565 เฟดได้ทยอยปล่อยให้ตราสารหนี้เหล่านั้นหมดอายุโดยไม่ซื้อคืน ซึ่งถือเป็นมาตรการหนึ่งในการคุมเข้มนโยบายการเงิน
#เฟดลดดอกเบี้ย
CR:RTy9
ข่าวทั้งหมด