พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น. พล.ต.ต.เกียรติกุล สนธิเณร ผบก.น.2 ได้สั่งการให้ทาง บก.น.2 ดำเนินการตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ดำเนินการทางวินัยร้ายแรง และให้ออกจากราชการ นายตำรวจสังกัด บก.น.1 นาย ทราบชื่อคือ พ.ต.ท.พศินกนกภรัณ วัชระเพชรกากแก้ว รอง ผกก.(สอบสวน) สน.ดอนเมือง หลังจากพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ปอท. ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 5865/2568 ลงวันที่ 6 ต.ค. 68 ซึ่งออกตามคำร้องของพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ปอท. ให้จับกุมตัว นายพศินกนกภรัณ ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น, โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, สมคบโดยการตกลงตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน, ร่วมกันฟอกเงินและร่วมกันเป็นอั้งยี่” ตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค.2568
กรณีดังกล่าวเกิดขึ้น ช่วงปลายเดือนพ.ค. 2568 ผู้เสียหายพบเห็นโฆษณาบนฟีดเฟซบุ๊กเกี่ยวกับการชักชวนลงทุนเทรดหุ้นออนไลน์ ผ่านแพลตฟอร์มชื่อ “FINNIXMAX” โดยในระยะแรกสามารถเบิกถอนเงินได้ตามปกติ ต่อมาเมื่อผู้เสียหายลงทุนเพิ่มมากขึ้นและต้องการถอนเงิน แต่ไม่สามารถถอนเงินออกจากระบบได้ จึงเชื่อว่าถูกหลอกลวง มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 1.2 ล้านบาท
เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน ขออนุมัติหมายจับผู้เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด จำนวน 24 รายจับกุมผู้ต้องหาในคดีได้จำนวน 16 ราย และอายัดตัวผู้ต้องหาในเรือนจำ 1 ราย และได้ทำการสืบสวนสอบสวนขยายผล พร้อมตรวจยึดของกลางและทรัพย์สินต่างๆ ประกอบด้วย รถยนต์ 9 คัน, กระเป๋าและเครื่องประดับแบรนด์เนม 48 รายการ, เงินสดหลายสกุลมูลค่ารวม 295,920 บาท, โทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ 23 รายการ, สมุดบัญชีธนาคาร/บัตร ATM 92 รายการ รวมมูลค่าสิ่งของตรวจยึดกว่า 21 ล้านบาท และรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขอหมายจับบุคคลที่มีส่วนร่วมในขบวนการเพิ่มเติมอีกจำนวน 5 ราย จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปอท. พร้อมด้วย กก.1 บก.ปอท. บูรณาการกำลังร่วมกันตรวจค้นเป้าหมาย 6 จุด ในพื้นที่ กรุงเทพมหานคร และอุดรธานี วันที่ 7 ต.ค.68
จากการตรวจสอบทราบว่า ผู้ต้องหา คือ พ.ต.ท.พศินกนกภรัณ ตำแหน่ง รอง ผกก.(สอบสวน) สน.แห่งหนึ่ง พื้นที่นครบาล โดยในขณะถูกจับกุม ผู้ต้องหาให้การยอมรับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับจริง ไม่ขัดขืนการจับกุม และให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี
เบื้องต้นผู้ต้องหารับว่าเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทบุคคลในเครือญาติที่รับเปิดบัญชีม้าโดยรับค่าจ้างเดือนละ 7 หลัก โดยมีญาติๆ ร่วมทำงานกับบริษัทดังกล่าวด้วย ภายหลังจับกุมผู้ต้องหาได้ยื่นหลักทรัพย์ประกันตัวในชั้นศาล ซึ่งศาลอนุญาต ส่วนญาติอีกกลุ่มที่ถูกจับกุมไม่ได้รับการประกันตัว
พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ ได้ใช้มาตรการเชิงรุกในการปราบปราม ไม่ว่าจะเป็นการสืบสวนสอบสวน การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนำไปสู่การติดตามจับกุมผู้กระทำความผิด การพัฒนาและเชื่อมโยงข้อมูลระบบแจ้งความออนไลน์ การบูรณาการร่วมกับภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชน รวมถึงการประสานงานร่วมกับฝ่ายต่างประเทศเพื่อกวาดล้างอาชญากรรมข้ามชาติ
ข้อมูลสถิติระหว่างวันที่ 1-26 ต.ค.68 พบว่ามีประชาชนได้รับความเสียหายแจ้งเหตุเข้ามาผ่านระบบ 1441 และ Thai Police Online รวม 29,232 เรื่อง มีมูลค่าความเสียหายรวม 1,853 ล้านบาท 3 อันดับประเภทคดีที่มีผู้เสียหายแจ้งมากที่สุด ได้แก่ คดีหลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ ที่ไม่มีลักษณะเป็นขบวนการ จำนวน 14,892 คดี, คดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อรับรางวัลหรือวัตถุประสงค์อื่นๆ จำนวน 4,822 คดี และคดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อทำงานหารายได้พิเศษ จำนวน 2,680 คดี ซึ่งเมื่อพิจารณาตามมูลค่าความเสียหาย 3 ลำดับแรกที่มีมูลค่าสูงสุด ได้แก่ คดีหลอกลวงให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ มูลค่าความเสียหายรวม 504 ล้านบาท, คดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อรับรางวัลหรือวัตถุประสงค์อื่นๆ 428 ล้านบาท และคดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อทำงานหารายได้พิเศษ 329 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า พล.ต.ท.จิรภพประสานข้อมูลจากประเทศเกาหลีใต้ว่า มีแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศไทย ซึ่งยอมรับว่ามีจริง แต่ฐานปฏิบัติการของแก๊งเหล่านี้ในประเทศไทยไม่ได้มีความใหญ่โตเหมือนกรณีในประเทศเพื่อนบ้าน เป็นเพียงการแฝงตัวตามที่พักอาศัย โดยผู้กระทำผิดใช้เส้นทางธรรมชาติในการลักลอบเข้ามาในไทย และก่ออาชญากรรม ทั้งนี้ ประเทศไทยไม่ได้เป็นฐานปฏิบัติการหลัก แต่เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการหลอกลวง
#ตำรวจหลอกลวง
#หลอกลงทุน
ข่าวทั้งหมด