 
                            
            
            
            
            
	          ผลพวงจากปัญหาชัตดาวน์หน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯ (US government shutdown) ที่ยืดเยื้อเข้าสู่วันที่ 27 แล้วในวันนี้(27 ต.ค.) นางบรู๊ค โรลลินส์ รัฐมนตรีเกษตรของสหรัฐฯได้โพสต์ประกาศทางเว็บไซต์ของกระทรวงเกษตรว่า รัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯจะไม่เบิกจ่ายเงินจากกองทุนสำรองที่มีอยู่รวม 6,000 ล้านดอลลาร์ที่จัดสรรไว้ใช้จ่ายในกรณีประสบภัยพิบัติฉุกเฉินทางธรรมชาติ เช่น เหตุพายุพัดถล่ม มาใช้จ่ายในการจัดซื้ออาหารสำหรับแจกจ่ายให้กับชาวอเมริกัน ตามโครงการช่วยเหลือด้านโภชนาการเสริม (SNAP) จะส่งผลให้ประชาชนที่มีรายได้น้อยกว่า 40 ล้านคน เช่น ผู้สูงอายุ,เด็กและผู้พิการ ไม่ได้รับการช่วยเหลือด้านอาหารตั้งแต่สัปดาห์หน้า
	          นางโรลลินส์ได้วิจารณ์บรรดาสว.จากพรรคเดโมแครต พรรคฝ่ายค้าน ขัดขวางพยายามของสว.พรรครีพับลิกัน พรรครัฐบาลในการลงมติร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว ทำให้รัฐบาลทรัมป์ไม่มีงบประมาณ เพื่อเปิดทำการหน่วยงานรัฐต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 4 แล้วสำหรับโครงการ SNAP มีรูปแบบการดำเนินการคือ รัฐจะมอบบัตรเดบิตแบบเติมเงินให้กับประชาชนที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ เพื่อใช้ซื้ออาหารจำเป็นในชีวิตประจำวัน โดยเฉลี่ยครัวเรือนที่มีสมาชิก 4 คน จะได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐราว 715 ดอลลาร์ (ราว 26,100 บาท) หรือเฉลี่ยไม่ถึง 6 ดอลลาร์(ราว 219 บาท)ต่อคนต่อวัน ตามข้อมูลจากศูนย์งบประมาณและลำดับความสำคัญของนโยบาย(CBPP) เอ็นจีโอของสหรัฐฯที่ติดตามเรื่องการช่วยเหลือชาวอเมริกันที่มีรายได้น้อย ที่ผ่านมา ชาวอเมริกันเฉลี่ย 1 ในทุกๆ 8 คนจะได้รับประโยชน์จากโครงการนี้ และถือว่าเป็นโครงการหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น เช่น ร้านค้าในชุมชน
	          ด้านสส.พรรคเดโมแครต เช่น นางโรซา เดลาโอโร และนางแอนจี เคร็ก ได้วิจารณ์รัฐบาลทรัมป์ว่า ใจร้ายกับประชาชนของตนเอง แต่กลับใช้งบประมาณที่ไม่ถูกต้องในช่วงที่มีการชัตดาวน์ เช่น การช่วยเหลือด้านการเงินฉุกเฉิน 20,000 ล้านดอลลาร์แก่รัฐบาลอาร์เจนตินา และอนุมัติโครงการก่อสร้างห้องบอลรูมใหม่ในทำเนียบขาว รวมมูลค่า 250 ล้านดอลลาร์
	#ผลกระทบชัตดาวน์สหรัฐ
	#โครงการช่วยเหลือด้านอาหาร
	ที่มา: bbc
 ข่าวทั้งหมด
 ข่าวทั้งหมด