รัฐบาลทรัมป์ขู่ไม่จ่ายค่าจ้างย้อนหลังสำหรับลูกจ้างภาครัฐที่ถูกพักงานช่วงชัตดาวน์

08 ตุลาคม 2568, 11:00น.


          สหรัฐฯชัตดาวน์หน่วยงานรัฐบาลเข้าสู่วันที่ 8 แล้วในวันนี้ (8 ต.ค.) เริ่มจาก 1 ต.ค.หลังสภาคองเกรสไม่สามารถผ่านร่างกฎหมายงบประมาณได้ทันเวลา ส่งผลให้คนงานในหน่วยงานของรัฐบาลกลางของสหรัฐฯราว 750,000 คนถูกพักงานชั่วคราวโดยไม่ได้รับค่าจ้าง ขณะที่พนักงานในภารกิจที่จำเป็น เช่น กิจการด้านความมั่นคง และเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศ ต้องทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้างจนกว่าการชัตดาวน์จะสิ้นสุด



          ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯใช้โอกาสนี้กดดันพรรคเดโมแครต พรรคฝ่ายค้าน ให้ยอมรับข้อเสนองบประมาณระยะสั้น เพื่อให้หน่วยงานรัฐสามารถจะเปิดทำการไปจนถึงวันที่ 21 พ.ย.นี้ โดยไม่รวมข้อเสนอเรื่องขยายสิทธิ์ประโยชน์ของโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้ามารวมไว้ในร่างงบประมาณชั่วคราว ซึ่งเป็นประเด็นขัดแย้งที่พรรคเดโมแครตไม่เห็นด้วย



          ล่าสุด ทำเนียบขาวของสหรัฐฯได้เผยแพร่เอกสารบันทึกความทรงจำจากสำนักงานงบประมาณและการบริหารจัดการ(OMB) เตือนว่า พนักงานที่ถูกพักงานชั่วคราวอาจจะไม่ได้รับเงินเดือนย้อนหลัง หลังการชัตดาวน์สิ้นสุดลง ระบุว่า กฎหมายว่าด้วยการรับประกันการจ่ายเงินเดือนย้อนหลัง หลังการชัตดาวน์ ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศใช้ในช่วงบริหารประเทศสมัยแรก จะไม่ใช้กับพนักงานที่ถูกพักงานชั่วคราว



          ด้านสมาชิกสภาคองเกรสจากพรรคเดโมแครต เช่น นายฮาคีม เจฟฟรีส์ ผู้นำเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ โต้แย้งว่า อาจจะขัดแย้งกับกฎหมายที่นายทรัมป์ประกาศใช้เองในปี 2562 ที่ระบุชัด ว่า คนงานของรัฐทุกคนที่ถูกพักงานมีสิทธิ์จะได้รับค่าจ้างย้อนหลัง หลังการชัตดาวน์สิ้นสุดลง ขณะเดียวกันนายทรัมป์ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวเมื่อวานนี้ ยืนยันว่ารัฐบาลจะพิจารณารายบุคคล และเห็นว่า แรงงานบางคนไม่ควรจะได้รับเงินเดือนย้อนหลัง หลังการชัตดาวน์สิ้นสุดลง



          ขณะที่นายไมค์ จอห์นสัน ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ กล่าวในการแถลงข่าวเมื่อวานนี้(7 ต.ค.)ยอมรับว่า มีการพูดคุยประเด็นข้อกฎหมายว่า การจ่ายเงินย้อนหลังให้กับคนงานที่ถูกพักงานชั่วคราวเป็นเรื่องเหมาะสมหรือไม่ ซึ่งถ้าหลายฝ่ายเห็นว่า เป็นเรื่องที่เหมาะสม อาจจะกดดันให้พรรคเดโมแครต ต้องมาเจรจาในเรื่องนี้กับพรรครีพับลิกัน เพื่อให้รัฐบาลสามารถเปิดทำการตามปกติโดยเร็ว



#ผลกระทบชัตดาวน์สหรัฐ



ที่มา: bbc

ข่าวทั้งหมด

X