รองนายกฯเศรษฐกิจหวังฟื้นเศรษฐกิจไตรมาส 4 -ครม.เห็นชอบ “คนละครึ่ง พลัส”
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เห็นชอบโครงการคนละครึ่ง พลัส สร้างรายได้ ลดรายจ่ายให้กับประชาชนในการใช้ชีวิตประจำวัน เพื่อให้มีกำลังในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น หลังคาดการณ์ว่าจีดีพีไตรมาส 4 ขยายตัวเพียงร้อยละ 0.3 เมื่อออกมาตรการคนละครึ่งพลัส จะทำให้กระตุ้นเศรษฐกิจได้อีกร้อยละ 0.3 รวมเป็นร้อยละ 0.6 และยังมีอีกหลายมาตรการทะยอยออกทุกสัปดาห์ หวังดันจีดีพีไตรมาส 4 ให้ได้ร้อยละ 1 มองว่า กลุ่มรายย่อย เมื่อได้เงินไปจะจับจ่ายใช้สอยอย่างรวดเร็วและกระจายไปทั่วประเทศ จึงเป็นอีกเรือธงของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
สำหรับกลุ่มเป้าหมายจำนวนไม่เกิน 20 ล้านคน มีรายละเอียดโครงการฯ ดังนี้
1. ระยะเวลาโครงการฯ ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1.1 เปิดรับลงทะเบียนร้านค้าตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม ถึงวันที่ 19 ธันวาคม 2568 หรือระยะเวลาตามที่กระทรวงการคลังโดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กำหนด
1.2 เปิดรับลงทะเบียนประชาชนตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม ถึงวันที่ 26 ตุลาคม 2568 (เวลา 06.00 - 22.00 น.)
1.3 ประชาชนผู้ได้รับสิทธิสามารถใช้สิทธิโครงการฯ ได้ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 (เวลา 06.00 - 23.00 น.) โดยสามารถซื้ออาหาร เครื่องดื่ม สินค้า และบริการที่กำหนดจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ สำหรับการซื้ออาหารหรือเครื่องดื่มผ่านผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหาร (Food Delivery Platform) ที่ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการฯ ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” สามารถใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่ 7 พฤศจิกายน ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 (เวลา 06.00 - 21.00 น.)
2. กลุ่มเป้าหมาย 20 ล้านคน แบ่งเป็นกลุ่มคนผู้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และประชาชนทั่วไป ต้องมีคุณสมบัติ คือ 1.เป็นผู้มีสัญชาติไทย 2) มีอายุตั้งแต่ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ลงทะเบียน 3) มีบัตรประจำตัวประชาชน 4) ไม่เป็นผู้มีบัตรสวัสดิการฯ ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2568 และ 5) ไม่เป็นผู้ที่ถูก สศค. ระงับสิทธิหรือถูกเรียกเงินคืนในโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 1 – 5
3. การใช้จ่ายภาครัฐสนับสนุนเงินร่วมจ่ายค่าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้า และบริการที่กำหนด ให้แก่ประชาชนกลุ่มเป้าหมายจำนวนไม่เกิน 20 ล้านคน ในอัตราร้อยละ 50 ทั้งนี้ ไม่เกิน 200 บาทต่อคนต่อวัน แต่ไม่เกินจำนวนวงเงินสิทธิที่กำหนด โดยประชาชนผู้ยื่นแบบ ภ.ง.ด. 90 ภ.ง.ด. 91 หรือ ภ.ง.ด. 95 ในปีภาษี 2567 จะได้รับวงเงินสิทธิไม่เกิน 2,400 บาทต่อคน และประชาชนทั่วไปจะได้รับวงเงินสิทธิไม่เกิน 2,000 บาทต่อคน ตลอดระยะเวลาใช้จ่ายของโครงการฯ
ประชาชนกลุ่มเป้าหมายสามารถใช้สิทธิในโครงการฯ ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” เพื่อซื้ออาหาร เครื่องดื่ม สินค้า และบริการที่กำหนดจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ หรือซื้ออาหารหรือเครื่องดื่มจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ ผ่านผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหาร (Food Delivery Platform) ที่ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการฯ โดยรับชำระเงินผ่านแอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” ซึ่งกระทรวงการคลังโดยกรมบัญชีกลางจะดำเนินการโอนเงินในส่วนที่ภาครัฐร่วมจ่ายให้แก่ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ ภายในระยะเวลาที่กำหนดต่อไป นอกจากนี้ จะเห็นได้ว่า โครงการฯ ได้มีการกำหนดวงเงินสิทธิของผู้ที่ยื่นแบบภาษีมากกว่าประชาชนทั่วไป เพื่อเป็นการสนับสนุนและสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนเข้าสู่ระบบภาษีมากขึ้น ประกอบกับการดำเนินโครงการฯ
คณะรัฐมนตรียังได้มีมติเห็นชอบในหลักการการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับสิทธิตามโครงการฯ ที่ประชาชนได้รับ และสำหรับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ ขอเรียนยืนยันว่า ข้อมูลโครงการฯ ไม่ได้มีการเชื่อมต่อระบบกับกรมสรรพากรเพื่อตรวจสอบรายได้แต่อย่างใด โดยผู้ประกอบการไม่ว่าจะเข้าร่วมโครงการฯ หรือไม่ก็ตาม เมื่อมีเงินได้พึงประเมินถึงเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดหรือมีรายได้ ย่อมต้องมีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล แล้วแต่กรณี
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ขอย้ำว่า กลุ่มผู้มีบัตรสวัสดิการฯ ได้รับเงินชดเชยไปแล้ว 13.5 ล้านคน รับเงิน 2,000 บาท เท่ากับกลุ่ม ผู้เตรียมลงทะเบียนคนละครึ่ง จึงห้ามไม่ให้ลงทะเบียน คนละครึ่ง เพราะถือว่าได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลไปแล้ว และเป็นกลุ่มเปราะบางคนส่วนใหญ่ที่ไม่มีมือถือสมาร์ทโฟน ซึ่งได้รับการช่วยเหลือและเริ่มใช้เงินในช่วงเดียวกัน พ.ย.-ธ.ค.68 และคาดว่าจะร้านค้า ทั้งบุคคลธรรมดา นิติบุคคล ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ 1.5 ล้านราย
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ระบบแอปเป๋าตัง ได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้เข้าสู่เฟส 5 รองรับประชาชนเช้าใช้บริการจากเดิม 5 หมื่นคน เพิ่มเป็น 1 แสนคนต่อวินาที ดังนั้น การลงทะเบียน เพื่อกดรับสิทธิ์ ผ่านแอปเป๋าตัง ยืนยันไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โครงการคนละครึ่งพลัส ใช้งบกลางกระตุ้นเศรษฐกิจเดิม 25,000 ล้านบาท รวมกับงบกลางฉุกเฉินอีก 19,000 ล้านบาท รวมเป็น 44,000 ล้านบาท รองรับโครงการคนละครึ่งพลัส เรื่องดังกล่าว ได้หารือกันในที่ประชุม ครม. หลังได้สอบถามกฤษฎีกาแล้ว ยืนยันว่า สามารถนำงบกลางฉุกเฉินมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจได้
#คนละครึ่งพลัส