การชัตดาวน์สหรัฐฯกระทบผู้โดยสาร-ปิดหอควบคุมการบิน-เครื่องบินดีเลย์ทั่วประเทศ

          การชัตดาวน์หน่วยงานรัฐบาลของสหรัฐฯที่เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.กระทบต่อธุรกิจการบินของสหรัฐฯอย่างหนัก โดยเฉพาะสนามบินหลักๆ 12 แห่งสนามบิน เช่น สนามบินนานาชาติในกรุงวอชิงตันดี.ซี.,สนามบินนานาชาติเมืองแจ็กสันวิลล์ รัฐฟลอริดา, สนามบิน ฮอลลีวูดเบอร์แบงก์ในรัฐแคลิฟอร์เนีย,สนามบินเมืองฟีนิกซ์ รัฐอาริโซนา และสนามบินเมืองเดนเวอร์ ในรัฐโคโลราโด เริ่มมีปัญหาขาดแคลนเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศเนื่องจากมีเจ้าหน้าที่ลาป่วยเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ตามการแถลงจากนายฌอน ดัฟฟี รัฐมนตรีคมนาคมของสหรัฐฯและองค์การบริหารการบินแห่งชาติ หน่วยงานกำกับดูแลการบินพลเรือนในสังกัดกระทรวงคมนาคมสหรัฐฯ ระบุว่า เจ้าหน้าที่ 13,200 คนยังคงปฏิบัติหน้าที่ แต่ระบบทั้งหมดเผชิญกับแรงกดดันสูงขึ้นในระยะนี้ เนื่องจาก FAA ขาดแคลนเจ้าหน้าที่อีกกว่า 3,000 คน

         ผลกระทบที่ชัดเจนที่สุด เช่น ที่สนามบิน ฮอลลีวูดเบอร์แบงก์ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งหอควบคุมจราจรทางอากาศต้องปิดตัวชั่วคราวตั้งแต่เวลา 16.15น.ของวานนี้(6 ต.ค.) ส่งผลให้นักบินต้องใช้ขั้นตอนการนำทางแบบไม่ต้องพึ่งพาหอควบคุมการบิน ซึ่งโดยปกติใช้กับสนามบินขนาดเล็ก อีกทั้งเกิดปัญหาล่าช้าในการนำเครื่องบินลงจอดที่สนามบินเฉลี่ยกว่า 2 ชม. 31 นาที และต้องยกเลิกหลายเที่ยวบิน นอกจากนี้ มีรายงานว่า เครื่องบินต้องดีเลย์ในสนามบินหลักๆอีกหลายแห่ง เช่น สนามบินนานาชาติเมืองเดนเวอร์ในรัฐโคโลราโด,สนามบินนานาชาตินิวอาร์กลิเบอร์ตี รัฐนิวเจอร์ซี และสนามบินนานาชาติแฮร์รี รีด รัฐเนวาดา

          ทั้งนี้ ในยุคที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯบริหารประเทศสมัยแรก มีการชัตดาวน์หน่วยงานรัฐนานถึง 35 วัน เริ่มจากเดือนธ.ค.2561 จนถึงเดือนม.ค.2562 แต่ต่อมาปัญหานี้ สิ้นสุดลง หลังจากเจ้าหน้าที่หอควบคุมการบินหลักๆ 10 แห่ง หยุดงาน ส่งผลให้การจราจรทางอากาศติดขัดอย่างหนัก นอกจากนั้น การที่การที่เจ้าหน้าที่ที่ดูแลความปลอดภัยด้านการขนส่ง(TSA)อีกหลายคนลาป่วย ทำให้ผู้โดยสารเข้าแถวยาวที่จุดตรวจความปลอดภัย ในที่สุด รัฐบาลทรัมป์และพรรคเดโมแครต พรรคฝ่ายค้าน ต้องเร่งหาทางผลักดันการทำข้อตกลงแผนงบประมาณปี 2562 กระทั่งสำเร็จ ทำให้หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง

#ผลกระทบชัตดาวน์

#ธุรกิจการบินสหรัฐฯ

ที่มา: cnn