ผลจากการที่รัฐบาลสหรัฐฯเข้าสู่ภาวะชัตดาวน์หน่วยงานรัฐ(government shutdown)ตั้งแต่คืนวันที่ 1 ต.ค.หลังจากสภาคองเกรสไม่สามารถผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวเพื่อขยายงบประมาณปี 2025 ไปสู่ปี 2026 ทันเวลา สงผลหลังเที่ยงคืนวันอังคาร(30 ก.ย.)ตามเวลาในสหรัฐ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯสั่งให้ระงับการเบิกจ่ายงบประมาณ 26,000 ล้านดอลลาร์ให้กบรัฐที่เป็นฐานเสียงของพรรคเดโมแครต พรรคฝ่ายค้าน เช่น รัฐนิวยอร์ก นับเป็นการทำตามคำขู่ว่า รัฐบาลทรัมป์จะใช้ช่วงโอกาสการชัตดาวน์ ในช่วงนี้ระงับโครงการสำคัญๆของพรรคเดโมแครต เช่น โครงการระบบขนส่งมูลค่า 18,000 ล้านดอลลาร์ในนครนิวยอร์ก ซึ่งเป็นฐานเสียงของสมาชิกสภาคองเกรสระดับสูง 2 คนจากพรรคเดโมแครตคือ สว.ชัค ชูเมอร์ ผู้นำเสียงข้างน้อยในวุฒิสภา และสส.ฮาคีม เจฟฟรีส์ ผู้นำเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ โครงการส่งเสริมพลังงานสะอาดมูลค่า 8,000 ล้านดอลลาร์ใน 16 รัฐที่เป็นฐานเสียงของพรรคเดโมแครต เช่น รัฐแคลิฟอร์เนียและรัฐอิลลินอยส์
รองประธานาธิบดีเจดี แวนซ์ ของสหรัฐฯ เตือนว่า รัฐบาลทรัมป์อาจจะเลิกจ้างเจ้าหน้าที่รัฐที่สนับสนุนพรรคฝ่ายค้าน ถ้าหากระยะเวลาชัตดาวน์หน่วยงานรัฐยืดเยื้อไปอีก 2-3 วัน ขณะที่นักวิเคราะห์ระบุว่า การดำเนินการดังกล่าวชี้ชัดว่า นายทรัมป์ทำตามคำขู่จะใช้ประโยชน์จากภาวะชัตดาวน์เพื่อเล่นงานพรรคคู่แข่งทางการเมืองและขยายอำนาจการควบคุมงบประมาณรัฐบาลกลางมูลค่า 7 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งตามรัฐธรรมนูญสหรัฐฯกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของสภาคองเกรส การชัตดาวน์ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 15 นับตั้งแต่ปี 2524 ส่งผลให้ต้องระงับโครงการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ การกำกับดูแลทางการเงิน โครงการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมและกิจกรรมอื่นๆหลายอย่าง
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่รัฐบาลกลาง 750,000 คนถูกสั่งให้หยุดงาน ขณะที่เจ้าหน้าที่บางส่วนเช่น ทหารและเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนชายแดนต้องทำงานต่อไปโดยไม่ได้รับค่าจ้าง ขณะที่กระทรวงกิจการทหารผ่านศึกของสหรัฐฯระบุว่าจะยังคงให้บริการหลุมฝังศพที่สุสานแห่งชาติ แต่จะไม่จัดทำป้ายชื่อหลุมศพ หรือแม้แต่การตัดหญ้าในช่วงชัตดาวน์
#รัฐบาลทรัมป์
#ระงับการเบิกจ่ายงบประมาณ
#ฐานเสียงพรรคฝ่ายค้าน
ที่มา: reuters
ข่าวทั้งหมด