นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า กกร. ยังคงประมาณการตัวเลขการส่งออกไว้ที่ 2-3% โดยมีปัจจัยกดดันสำคัญ จากค่าเงินบาทที่แข็งค่า รุนแรงในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากหากไม่สามารถรักษาระดับที่เหมาะสมได้ อาจกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดสหรัฐฯ และส่งผลต่อแรงงานราว 4 แสนคนที่เกี่ยวข้อง จึงจำเป็นต้องเร่งพัฒนาการใช้วัตถุดิบในประเทศ และเสริมสร้างอุตสาหกรรมต้นน้ำให้แข็งแรง โดยมี Regional Value Content (RVC) ที่เหมาะสมอยู่ที่ 40% ซึ่งจะเป็นเกณฑ์สำคัญ ที่ช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถแข่งขันได้อย่างมั่นคงในตลาดโลกท่ามกลางภาวะค่าเงินบาทยังแข็งค่าและมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ยังขาดข้อมูลเชิงลึกเพื่ออธิบายผลกระทบจากธุรกรรมทองคำและคริปโทเคอร์เรนซี รวมถึงการโอนเงินกลับประเทศของแรงงานต่างด้าวที่อยู่นอกระบบ ซึ่งทำให้ตัวเลขดุลการชำระเงินส่วนใหญ่ถูกจัดอยู่ในหมวด "Errors & Omissions" โดยไม่สามารถจำแนกได้ชัดเจน
กกร. จึงเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานร่วมกันเชื่อมโยงข้อมูล เร่งแยกแยะและวิเคราะห์ผลกระทบของธุรกรรมเหล่านี้ต่อภาคเศรษฐกิจจริง (Real Sector) พร้อมทั้งพิจารณามาตรการเชิงโครงสร้างเพื่อสร้างสมดุลในระยะยาว ที่ค่าเงินดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่า อาทิ การจัดตั้งกองทุน Sovereign Wealth Fund เพื่อเป็นกลไกเพิ่มเติมตอบโจทย์กับกิจกรรมการเคลื่อนย้ายเงินทุน ไม่ยึดติดกับผลิตภัณฑ์เดิม รองรับและบริหารความผันผวนอย่างเป็นระบบอย่างไรก็ดี ภาคเอกชนเห็นว่าหากสามารถดูแลเสถียรภาพและทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงได้ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ตัวเลขการส่งออกปรับตัวสูงขึ้นได้ รวมถึงการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่
ดังนั้น กกร. จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และทบทวนประมาณการการส่งออกอีกครั้งในการประชุมเดือนหน้าส่วนเศรษฐกิจไทยปี 68 มีแนวโน้มขยายตัวได้ที่ 1.8-2.2% ตามที่ประเมินไว้เดิม
อย่างไรก็ดี หากสามารถเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 69 ให้ได้ราว 1 ใน 3 ของงบประมาณภายในสิ้นปีนี้ กระตุ้นนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศให้ไปถึง 34 ล้านคน ควบคู่ไปกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจคนละครึ่งพลัส สนับสนุน SMEs และ Made In Thailand ตามแนวทาง Quick Big Win ของรัฐบาล จะเป็นแรงสนับสนุนสำคัญของเศรษฐกิจไทยในปี 68 ให้โตได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่โต 2.5%
ส่วนกรณีที่บริษัทจัดอันดับเครดิต 2 แห่งออกมาเตือนเกี่ยวกับสถานภาพทางเศรษฐกิจนั้นก็เป็นเรื่องที่ กกร.ได้ตระหนักมาก่อน หน้านี้แล้ว ซึ่งหากทุกภาคส่วนร่วมมือกันแก้ไขปัญหาแล้ว นอกจากจะไม่ถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือแล้วยังเชื่อว่าจะส่งผลให้สถานภาพทางเศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น และสืบเนื่องจาก Problem Statement ของข้อเสนอ Reinvent Thailand กกร.จึงให้ความสำคัญกับสถานการณ์ คอร์รัปชันในประเทศไทยที่ยังคงอยู่ในระดับรุนแรงและเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและการสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างชาติ
นอกจากนี้ กกร. ขอให้มีการทบทวน ร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงานฯ และขอให้ภาคเอกชนเข้าไปมีส่วนร่วมเป็นคณะกรรมาธิการในการพิจารณาร่างฯ ดังกล่าว เพื่อสะท้อนความเห็นและมุมมองต่อการปรับปรุงกฎหมาย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมทั้งฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้าง รวมทั้ง ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันและภาพรวมเศรษฐกิจไทย
#ส่งออกไทย