นายกฯ นำดรีมทีมเศรษฐกิจ พบสภาหอการค้าฯ รับข้อเสนอมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย

วันนี้, 15:42น.


          09.33น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยว่าที่รัฐมนตรีทีมเศรษฐกิจ ประกอบด้วย นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ว่าที่รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง, นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ว่าที่ รมว.พลังงาน, นางศุภจี สุธรรมพันธ์ ว่าที่ รมว.พาณิชย์, นายวรภัค ธันยาวงษ์ ว่าที่ รมช.คลัง พร้อมคณะฯ ได้เดินทางมายังสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เพื่อหารือกับนายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานสภาหอการค้าไทย และคณะกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย



           กล่าวว่า ที่มาวันนี้ พาว่าที่คณะรัฐมนตรีที่รับผิดชอบด้านเศรษฐกิจมาให้ได้รู้จัก และตั้งใจมารับฟังข้อเสนอแนะจากสภาหอการค้าฯ ซึ่งเป็นตัวแทนของภาคเอกชน ซึ่งหลังจากที่ได้ทูลเกล้าฯ รายชื่อคณะรัฐมนตรี และได้รับการโปรดเกล้าฯ แล้ว จะเร่งจัดทำการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา เพื่อเดินหน้าบริหารประเทศ โดยรัฐบาลชุดใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ จะเน้นเรื่องการเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ต้องกระชับ และเข้มแข็ง ภายในระยะเวลาที่มีอยู่จำกัด



          ด้านนายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย และประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวแสดงความยินดีที่นายอนุทิน ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ให้เข้ามาบริหารบ้านเมืองและเดินหน้าต่อเนื่อง โดยไม่เกิดการหยุดชะงัก และแสดงความยินดีล่วงหน้ากับว่าที่รัฐมนตรีทีมเศรษฐกิจทุกคน ซึ่งมีความรู้ความสามารถเป็นที่ยอมรับของประชาชน ซึ่งหลังจากนี้ สภาหอการค้าฯ ก็จะเดินทางไปพบหารือกับแต่ละกระทรวง



          หอการค้าไทย และสภาหอการค้าฯ ได้วางนโยบายขับเคลื่อนในส่วนของภาคเอกชน โดยข้อเสนอแนะทั้งหมดนี้ รวบรวมจากเครือข่ายหอการค้าไทยทั่วประเทศ ทั้งหอการค้าจังหวัด สมาคมการค้า ตลอดจนหอการค้าต่างประเทศ โดยมีข้อเสนอ 7 เสาหลักฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย เพื่อให้รัฐบาลนำไปพิจารณาใช้เป็นมาตรการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม ประกอบด้วย



1. การเสริมสร้างความเชื่อมั่นประเทศ และนักลงทุน ครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และความปลอดภัย



2. การเพิ่มสภาพคล่อง และการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของทั้งผู้ประกอบการ และภาคครัวเรือน



3. การลดภาระค่าครองชีพ และต้นทุนประชาชน



4. การส่งเสริมการค้าการลงทุน โลจิสติกส์ ค้าขายเป็นธรรม และสร้างความสามารถในการแข่งขันให้ SMEs



5. การยกระดับมาตรการด้านความปลอดภัย ทั้งอาชญากรรม ยาเสพติด และภัยออนไลน์



6. การเตรียมแผนรับมือผลกระทบจากสงครามการค้า และความผันผวนของค่าเงิน



7. การกระตุ้นกำลังซื้อ และส่งเสริมการท่องเที่ยว ผ่านมาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวและสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศ



           และฝากมาตรการเร่งด่วนระยะ 4 เดือน เสนอให้รัฐบาลใหม่เร่งดำเนินมาตรการสำคัญหลายด้านอย่างทันที ได้แก่



1. การค้าระหว่างประเทศ ที่ควรเร่งรัดการเจรจากับสหรัฐฯ ภายใต้กรอบ Reciprocal Tariff (RT) ควบคู่กับการแก้ไขอุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษี และการขยายตลาดใหม่ในภูมิภาคที่มีศักยภาพ เช่น จีน แอฟริกา และตะวันออกกลาง



2.  ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ควรดูแลค่าเงินบาทเชิงรุกให้อยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้ราว 34-35 บาท/ดอลลาร์ เพื่อรักษาความได้เปรียบด้านการส่งออก2. การกระตุ้นเศรษฐกิจ ควรเดินหน้ามาตรการกระตุ้นกำลังซื้อที่ประชาชนคุ้นเคย เช่น "คนละครึ่ง" และ "Easy E-Receipt" รวมถึงรณรงค์ "ใช้ของไทย ฟื้น SME" พร้อมทั้งเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 เพื่อช่วยเพิ่มการจ้างงาน



3. ภาคการท่องเที่ยว รัฐบาลควรตั้งศูนย์บริการนักท่องเที่ยวแบบเบ็ดเสร็จ และยกระดับมาตรการความปลอดภัย โดยเฉพาะสำหรับตลาดนักท่องเที่ยวจีน ควบคู่กับการลดภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์หมวดไลฟ์สไตล์ในจังหวัดท่องเที่ยวหลัก ได้แก่ กรุงเทพฯ พัทยา ภูเก็ต และเชียงใหม่



4. ด้านมาตรการสำหรับภาคธุรกิจ SMEs ขอให้มีการจัดสรรงบประมาณจำนวน 10,000 ล้านบาท เพื่อบรรเทาความเสียหายจากหนี้เสีย (NPL) และเร่งผลักดันโครงการ THAI SME-GP



5. ด้านแรงงาน รัฐบาลควรกำหนดการปรับค่าจ้างตามมาตรา 87 แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน โดยใช้กลไกไตรภาคี รวมถึงหาทางออกต่อปัญหาการขาดแคลนแรงงาน



6. ประชาชนควรได้รับการบรรเทาภาระค่าครองชีพ ผ่านมาตรการลดดอกเบี้ยลูกค้าชั้นดี และการปรับลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างลง 50% เป็นเวลา 1 ปี 



7. เดินหน้านโยบาย Zero Corruption และบูรณาการการปราบปรามปัญหาสังคม ทั้งยาเสพติด การค้ามนุษย์ กลโกงออนไลน์ และการพนันอย่างจริงจัง



          ส่วนมาตรการในระยะกลาง 8 เดือน หอการค้าไทย เสนอให้รัฐบาลเร่งคืนภาษีมูลค่าเพิ่มและอากรขาออก ภายใน 7-14 วัน เพื่อช่วยลดต้นทุนและเสริมสภาพคล่องแก่ผู้ส่งออก พร้อมกันนี้ ภาครัฐควรร่วมมือกับภาคเอกชนและสถาบันการศึกษา จัดตั้งกลไกการพัฒนาทักษะบุคลากรให้ตรงกับความต้องการของตลาด โดยเน้นสาขาที่มีศักยภาพสูง เช่น เทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ ยานยนต์สมัยใหม่ และเกษตร-อาหารสมัยใหม่ อีกทั้งยังควรมีมาตรการสนับสนุนผ่านสิทธิประโยชน์ทางภาษีและคูปองฝึกอบรม



          ขณะเดียวกัน รัฐบาลควรเร่งแก้ไขปัญหาหนี้ ทั้งในระบบและนอกระบบ โดยใช้แนวทางปรับโครงสร้างหนี้ และขยายวงเงินสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำที่ถูกกฎหมาย เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ตลอดจนการปฏิรูปกฎหมายและกฎระเบียบควรถูกขับเคลื่อนอย่างจริงจัง ด้วยการใช้มาตรการ Regulatory Guillotine เพื่อลดความซ้ำซ้อน ลดภาระที่ไม่จำเป็น และช่วยให้ภาคธุรกิจดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น



          ข้อเสนอเหล่านี้ ไม่ใช่เพียงมาตรการเฉพาะหน้า แต่คือแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน ที่จะสร้างความหวังและความเชื่อมั่น หากรัฐบาล ภาคเอกชน และประชาชนร่วมมือกันอย่างมุ่งมั่นและจริงจัง หอการค้าฯ เชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทย จะสามารถกลับมาแข็งแรง และพร้อมสร้างโอกาสใหม่ให้กับประเทศ และสังคมไทย



 



#นายกพบหอการค้าไทย



 

ข่าวทั้งหมด

X