เปิด MOU การท่าเรือฯ - กรมการขนส่งทางบก ดึง Big Data สร้างมาตรฐานโลจิสติกส์ไทย

วันนี้, 14:04น.


         การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) และกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ฉบับใหม่ เพื่อทดแทนบันทึกข้อตกลงเดิมที่สิ้นสุดวันที่ 22 สิงหาคม 2568 นับเป็นการขยายขอบเขตความร่วมมือให้ครอบคลุมถึง ข้อมูลการติดตามรถบรรทุก สำหรับการควบคุมความปลอดภัย และวิเคราะห์ระบบขนส่งสินค้า  การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) และกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ฉบับใหม่ เพื่อทดแทนบันทึกข้อตกลงเดิมที่สิ้นสุดวันที่ 22 สิงหาคม 2568 นับเป็นการขยายขอบเขตความร่วมมือให้ครอบคลุมถึง ข้อมูลการติดตามรถบรรทุก สำหรับการควบคุมความปลอดภัย และวิเคราะห์ระบบขนส่งสินค้า 



          นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการ กทท. เปิดเผยว่า  ปัจจุบันการท่าเรือแห่งประเทศไทย กำกับดูแลท่าเรือหลัก 5 แห่ง ได้แก่ ท่าเรือกรุงเทพ (ท่าเรือคลองเตย) , ท่าเรือแหลมฉบัง (ชลบุรี) , ท่าเรือเชียงแสน (เชียงราย) , ท่าเรือเชียงของ (เชียงราย) และท่าเรือระนอง  ซึ่งที่ผ่านมาการขนส่งหลักๆ จะอยู่ทีท่าเรือแหลมฉบัง เพราะเป็นท่าเรือที่มีเรือขนส่งสินค้าขนาดใหญ่มาจอดที่นั่นจำนวนมาก  ในแต่ละวัน จึงมีรถขนส่งสินค้าวิ่งมาที่ท่าเรือแหลมฉบังสูงถึง 15,000 คัน แต่ถ้าช่วงไหนที่มีเรือสินค้าเข้ามามาก รถของผู้ประกอบการก็จะสูงถึง 20,000 คัน  Pain Point ของที่นี่ คือปัญหาการจราจรทึ่ค่อนข้างติดขัด ซึ่งผู้ขับขี่รถขนส่งสินค้าแต่ละคัน จะไม่ทราบเลยว่า การจราจรตอนนี้ติดขัดถึงจุดไหน ตรงไหนคือคอขวด ซึ่งเสียเวลาตรงนี้ต่อวันถึง 2-4 ชั่วโมง





          ภายใต้บันทึกข้อตกลงครั้งนี้ กทท. และ ขบ. ได้กำหนดแนวทางการเชื่อมโยงข้อมูลที่สำคัญร่วมกัน ทั้งข้อมูลทะเบียนยานพาหนะ ใบอนุญาตผู้ขับรถ ข้อมูลการเดินทางจากระบบ GPS ตลอดจนข้อมูลด้านการขนส่งสินค้า รวมทั้งการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี mobile application จัดสร้างแอป PAT LCB TRAFFIC สำหรับให้ผู้ขับขี่ทุกคนตรวจเช็คได้แบบ RealTimeว่า สภาพการจราจรตอนนี้เป็นอย่างไร ข้างหน้ารถติดมากแค่ไหน หรือรถของตัวเองตอนนี้อยู่ตำแหน่งไหนแล้ว ซึ่งจะเปิดใช้ในวันที่ 1 ตุลาคม 2568  นี้เพื่อช่วยลดปัญหาการจราจรติดขัด และเพิ่มความปลอดภัยในพื้นที่ท่าเรือได้อย่างเป็นระบบ  เพื่อ สร้างประโยชน์โดยตรงต่อผู้ประกอบการ ผู้ใช้บริการท่าเรือและระบบเศรษฐกิจโดยรวม ทั้งยังช่วยลดต้นทุนด้านการขนส่ง และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และยังเป็นการวางรากฐานสำคัญสู่การเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาคอาเซียนได้อีกด้วย



          นอกจากนี้ ทั้งสองหน่วยงานยังร่วมกันส่งเสริมบุคลากรในการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์ในด้านต่าง ๆ เช่น การตรวจสอบ การวิเคราะห์ และการประมวลผลข้อมูล รวมถึงการพัฒนาเทคนิคในการติดตามและกำกับดูแลยานพาหนะ เพื่อยกระดับประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายสอดคล้องตามนโยบายของรัฐ พ.ร.บ. การบริหารงานและการให้บริการ ภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562





         ด้านนายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า การลงนามครั้งนี้ เป็นการต่อยอดและขยายขอบเขตกรอบการบูรณาการด้านข้อมูล ได้แก่ การติดตามการเดินรถของรถบรรทุกขนส่งสินค้าในบริเวณพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบังและ ท่าเรือกรุงเทพ เพื่อนำไปวิเคราะห์ข้อมูลแนวทางในการแก้ไขปัญหาจราจรบริเวณท่าเรือ อันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ของประเทศ โดยการท่าเรือแห่งประเทศไทยและกรมการขนส่งทางบก เล็งเห็นถึงความสำคัญของข้อมูลที่จะสามารถนำมาปรับใช้กับภารกิจของแต่ละหน่วยงาน ซึ่งหวังว่าความร่วมมือกันในวันนี้จะเป็นการช่วยยกระดับและพัฒนาด้านระบบการขนส่งสินค้าของประเทศไทย




         นับเป็นการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ สะท้อนบทบาทสำคัญของการท่าเรือแห่งประเทศไทย ในฐานะกลไกหลักที่ช่วยยกระดับระบบโลจิสติกส์ ลดต้นทุนการขนส่ง เสริมขีดความสามารถในการแข่งขันและขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน




 


#โลจิสติกส์ไทย



#การท่าเรือแห่งประเทศไทย 



#กรมการขนส่งทางบก 

ข่าวทั้งหมด

X