ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองเงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบกว่า 4 ปีครั้งใหม่ที่ระดับ 31.58 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงเช้าวันที่ 9 ก.ย.2568 ก่อนจะอ่อนค่ากลับมาที่ระดับ 31.74 ในช่วงบ่าย สอดคล้องกับทิศทางของเงินหยวนและสกุลเงินอื่นในภูมิภาค ท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์ จากแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยของเฟด
ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวของเงินบาทเดือน ก.ย.ที่แข็งค่าขึ้นค่อนข้างมาก เพราะมีแรงหนุนเพิ่มเติมจากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก และแรงซื้อสุทธิพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ พบว่าภาพรวมเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาแล้ว 7.5% นับตั้งแต่ต้นปี 2568 ซึ่งขยับขึ้นมาเป็นอันดับต้นของสกุลเงินเอเชีย
สำหรับแนวโน้มเงินบาทระยะสั้น ประเมินว่ามีโอกาสขยับแข็งค่าไปทดสอบแนว 31.50 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากมีหลายปัจจัยกดดัน Sentiment เงินดอลลาร์ อาทิ แนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดช่วงที่เหลือปีนี้ โดยต้องติดตามการส่งสัญญาณของเฟดผ่าน dot plot ใหม่ หลังการประชุม FOMC เดือน ก.ย.นี้
ขณะที่การคาดการณ์เงินบาทอยู่ทิศทางแข็งค่า โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าหากเงินบาทหลุดระดับที่ 31.50 บาทต่อดอลลาร์ แนวรับถัดไปจะอยู่ที่ 31.30 บาทต่อดอลลาร์และเชื่อว่าเงินบาทอาจไม่กลับไปแตะระดับสูงสุดในกลางปี 2521 ที่ระดับ 30 บาทต่อดอลลาร์ เพราะคาดการณ์ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)จะเข้าไปดูแลเงินบาทไม่ให้แข็งค่ามากนัก
นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเป็นประเด็นน่ากังวล โดยการแข็งค่าหลักมาจาก“ค่าเงินดอลลาร์”ที่อ่อนค่าลงอย่างมีนัยสำคัญในปี 2568
โดยการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์เป็นผลมาจากการที่“โดนัลด์ ทรัมป์”ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้มีการเข้าไปแทรกแซงความเป็นอิสระในการทำงานของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งส่งผลให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงไปแล้วเกือบ 10% ในปีนี้ ซึ่งส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น 7% เมื่อเทียบตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ซึ่งคล้ายกับหลายประเทศที่ค่าเงินแข็งค่าขึ้น
ประเด็นที่ต้องจับตา คือหลังจากผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ และรัฐมนตรีคลังคนใหม่เข้ารับตำแหน่ง อาจมีนโยบายที่สามารถช่วยให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้บ้างในช่วงปลายปี
อย่างไรก็ตามมองว่าผลกระทบของค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น ส่งผลต่อการส่งออกในช่วงปลายปีนั้น และส่งผลกระทบต่อสินค้าบางชนิดและรายได้ของผู้ผลิตและผู้ส่งออกอย่างแน่นอน
#เงินบาทแข็ง