วันนี้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดฟังคำสั่งบังคับโทษถึงที่สุดหรือไม่ของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เวลา 10.00 น. กรณีที่เจ้าตัวเดินทางกลับเข้ามายังประเทศไทยเมื่อปี 2566 ก่อนจะถูกควบคุมตัวไปรับโทษ แต่ต่อมา ได้ถูกเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ส่งตัวไปรักษายังโรงพยาบาลตำรวจทันที เนื่องจากมีอาการฉุกเฉิน ก่อนที่ระหว่างการพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจจะได้รับการพระราชทานอภัยโทษจากเดิมที่โทษจำคุก 8 ปี เหลือ 1 ปี ก่อนที่จะได้รับการพักโทษเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 โดยไม่ได้ติดคุกแม้แต่วันเดียว
สำหรับแนวทางคำสั่งของศาลฎีกาฯ ที่จะออกมาในวันที่ 9 ก.ย.นี้ ประเมินทิศทางไว้ว่า อาจจะออกมา 3 แนวทางตามดังนี้
แนวทางที่1.ศาลฎีกาฯ มีคำสั่งหลังทำการไต่สวนการบังคับโทษนายทักษิณแล้วพบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ กระบวนการทุกอย่างดำเนินไปตามกฎหมายและไม่ได้มีการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่รัฐให้นายทักษิณได้รับอภิสิทธิ์หรือไม่ได้รับการบังคับโทษแต่อย่างใด
แนวทาง2.ศาลฎีกาฯ มีคำสั่งว่าการบังคับโทษนายทักษิณ โดยเฉพาะการส่งตัวนายทักษิณไปรักษาตัวที่ ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ 6 เดือน จนได้รับการพักโทษเป็นกระบวนการบังคับโทษ ที่ไม่ปกติมีการช่วยเหลือกันของเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อช่วยเหลือนายทักษิณ จนทำให้การบังคับโทษนายทักษิณที่จำคุก 1 ปี ไม่เกิดขึ้นจริง โดยแนวทางที่ 2 นี้ ตัวคำสั่งอาจไม่มีการระบุถึงตัวนายทักษิณว่าต้องรับผิดชอบหรือรับโทษ กับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไรส่วนฝ่ายใดจะขยายผลเอาผิดไปถึงทักษิณ จะเป็นเรื่องที่จะไปดำเนินการกันต่อไป โดยคำสั่งของศาลฎีกาฯ อาจจะไม่ระบุไว้
แนวทางที่3. ศาลเห็นว่า ไม่ได้มีการบังคับโทษจำคุกนายทักษิณตามคำพิพากษาของศาลฎีกา โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจรัฐและช่องโหว่ของกฎหมายคอยช่วยเหลือให้นายทักษิณ ไม่ได้รับการจำคุกโดยที่นายทักษิณ น่าจะมีส่วนรับรู้ และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือดังกล่าวที่ทำให้ตัวเองได้ประโยชน์จากการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบดังกล่าวของเจ้าหน้าที่รัฐ
ศาลฎีกาฯ จึงเห็นว่า การบังคับโทษนายทักษิณในช่วง 180 วันแรก ก่อนการบังคับโทษมีปัญหาในทางปฏิบัติและทางกฎหมาย จึงให้เป็นโมฆะและให้นายทักษิณกลับไปเข้าสู่กระบวนการบังคับโทษใหม่อีกครั้งพร้อมกับให้มีการสอบสวนลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐ
การฟังคำสั่งคดีวันนี้ ศาลได้ออกหมายเรียก นายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษคนปัจจุบัน รวมถึงตัวนายทักษิณ เข้ามาฟังคำสั่ง