การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ครั้งที่ 20 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เป็นพิเศษ วาระเรื่องด่วนเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 159 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่มีนายไชยา พรหมา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 เป็นประธานในการประชุม
นาย อัครแสนคีรี โล่ห์วีระ สส.ชัยภูมิ ในฐานะโฆษกพรรคกล้าธรรม อภิปรายว่า วันนี้สถานการณ์บ้านเมืองไม่ปกติ การเมืองไม่หยุดนิ่ง และพรรคการเมืองก็ไม่ควรยึดติดอยู่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หากสิ่งนั้นทำให้ประเทศของพวกเราเดินหน้าเข้าสู่ทางตัน ซึ่งพรรคกล้าธรรมครั้งนี้เราจำเป็นต้องตัดสินใจครั้งสำคัญที่จะพาประเทศชาติไปสู่ทางออกของความไม่มีเสถียรภาพ
สิ่งที่พรรคกล้าธรรมให้ความสำคัญมากที่สุดคือการเปิดประตูไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และคืนอำนาจให้กับพี่น้องประชาชนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เหนือสิ่งอื่นใดพรรคกล้าธรรมตระหนักว่าประเทศไทยเรายืนหยัดได้ด้วยหลักการสำคัญ 3 ประการ คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไม่ว่าจะเป็นการรักษาเอกราช และความมั่นคงของชาติ ไม่ให้ชาติไหน หรือประเทศใดมีอิทธิพลเหนือชาติไทย การธำมรงค์คุณค่าทางศาสนา และการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นหลักชัย และศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งแผ่นดินจึงขอเชิญชวนพี่น้องสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกท่านที่อยู่ในห้องประชุมแห่งนี้ให้ลองเปิดใจ และให้โอกาสนายอนุทิน ให้ได้ลองแสดงฝีมือในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศไทย
นายจาตุรนต์ ฉายแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายสนับสนุนนายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย พร้อมแสดงเหตุผลที่นายอนุทิน ชาญวีรกุล แคนดิเดตจากพรรคภูมิใจไทยไม่เหมาะสมกับตำแหน่งนายกฯ “พรรคประชาชนอยู่ในสภาพอิหลักอิเหลื่อ ผู้นำฝ่ายค้านแท้ ๆ เรียกร้องให้สมาชิกในสภาฯ อยู่ในที่ประชุมเพื่อพิจารณากฎหมาย เมื่อวานซืนท่านพูดอยู่หยก ๆ ว่าองค์ประชุมเป็นเรื่องรัฐบาล ถ้าท่านอนุทินได้เป็นนายกฯ องค์ประชุมไม่ครบสภาล่ม มีกฎหมายสำคัญเข้ามาสภาล่มจะทำอย่างไร พรรคประชาชนบอกว่าจะเป็นองค์ประชุมให้เพื่อให้สภาฯ เดินหน้าต่อ”
ซึ่งพฤติกรรมเช่นนี้คือ พฤติกรรมของการเป็นฝ่ายรัฐบาล อยู่ในสภาพที่ต้องประคับประคองรัฐบาล เราจะเชื่อได้อย่างไรว่าพรรคประชาชนจะทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านที่มีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่างหากมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจจะแบ่งเวลาอย่างไร เราจะยอมให้ผู้นำฝ่ายค้านสรุปการอภิปรายไม่ไหววางใจได้อย่างไร ในเมื่อท่านเป็นผู้ร่วมเลือกรัฐบาลนี้มา
นายอดิศร เพียงเกษ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ตั้งข้อสงสัยว่าคนที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยคนที่32 ชื่อว่านายอนุทิน ชาญวีรกูล ภายใต้ข่าวลือที่หนาหูที่เหม็นคลุ้งในสภา ว่ามีการใช้เงินถึง 1,500 - 2,000 ล้านบาท เป็นเรื่องที่ตนเองไม่สบายใจ และไม่อยากให้นายกรัฐมนตรีคนที่จะเป็นต่อไปจะต้องถูกตราหน้า
ส่วนตัวต้องการได้นายกรัฐมนตรี ที่ถูกพาดพิงคือนายอนุทิน ต้องตอบเองตนเองว่าเราไปสาบานที่วัดพระแก้วดีหรือไม่ ว่าไม่มีการสนับสนุนเงินต่าง ๆ เพราะถูกกล่าวหาเหมือนกันว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง “ส้มเท้งค้ำยันเขากระโดง ผูกโยงฮั้วสว. อยู่ปลายเสา ขัดสีฉวีวรรณให้มันเงาย่องเบาอำนาจอธิปไตย“
วันนี้ท่านต้องฟอกตัวของท่าน ที่ถูกกล่าวหาให้เคลียร์ที่สุด ถ้าไปสาบานที่วัดพระแก้วได้ ตนเองก็จะสบายใจ หรือศาลหลักเมือง หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพนับถือก็ไปกัน