นายผยง ศรีวณิช ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สมาคมธนาคารไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ว่า จากการคาดการณ์ว่าปี 2568 จีดีพีไทยจะขยายตัวได้ที่ 1.8%-2.2% และช่วงครึ่งปีหลังที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวเพียง 1% เพราะมีปัจจัยที่สร้างการชะงักงันทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งอาจกระทบการเบิกจ่ายงบประมาณ รวมถึงการขาดความเชื่อมั่นในการตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชนในระยะข้างหน้า และมีความเสี่ยงที่ประเทศจะโดนลงอันดับความน่าเชื่อถือสูงขึ้น
อัตราการว่างงานในระบบช่วงไตรมาส 2/2568 เพิ่มขึ้นเป็น 2.07% จาก 1.88% เทียบไตรมาสหนึ่งที่ผ่านมา และมีจำนวนผู้เสมือนว่างงานในภาคการเกษตรอยู่ที่ 2.1 ล้านคน สูงขึ้นประมาณ 5% เทียบปี 2567 ภาคการท่องเที่ยว ภาคก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ และภาคเกษตรชะลอตัว ความเปราะบางของธุรกิจเอสเอ็มอีไทย เห็นได้ชัดจากยอดค้างชำระหนี้เกิน 90 วันที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอีขนาดเล็กที่ยอดคงค้างสินเชื่อไม่เกิน 100 ล้านบาท
กกร. มีความกังวลต่อสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ที่ไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ซึ่งต่องระมัดระวังเพราะอาจเข้าข่ายการแทรกแซงค่าเงิน และอาจถูกแซงชั่นเพิ่มเติมอีก รวมถึงเห็นความสัมพันธ์กับราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันยังขาดข้อมูลเชิงลึกเพื่อทำความเข้าใจถึงผลกระทบของธุรกรรมทองคำและคริปโตฯ รวมถึงการโอนเงินกลับประเทศของแรงงานต่างด้าวที่ไม่ผ่านช่องทางในระบบ ทำให้การเกินดุลการชำระเงินกว่าครึ่งไม่สามารถจำแนกได้ชัดเจน (Errors & Omissions) ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญกับการแยกแยะและวิเคราะห์ผลกระทบของธุรกรรมทองคำต่อภาคเศรษฐกิจ (Real Sector) รวมถึงปรับปรุงและแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเพื่อทำให้เกิดความสมดุลมากขึ้น
การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังเผชิญความท้าทายจากทั้งปัจจัยภายนอก อาทิ ภาวะเศรษฐกิจโลกและสงครามการค้า และปัจจัยภายในอย่างต้นทุนพลังงาน ค่าจ้างขั้นต่ำ และราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการ โดยเฉพาะเอสเอ็มอีที่มีความเปราะบาง จึงมีข้อเสนอให้รัฐบาลพิจารณาปรับลดหรือผ่อนปรนภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไม่น้อยกว่า 50% ในปี 2569 หรือจนกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว เพื่อบรรเทาภาระต้นทุน เสริมสภาพคล่อง ลดความเสี่ยงจากการปิดกิจการ และรัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการจ่ายอัตราค่าจ้างตามทักษะฝีมือแรงงาน แทนการปรับขึ้นขั้นต่ำ สร้างแรงงานที่มีทักษะฝีมือให้สอดคล้อง กับความต้องการของตลาดแรงงาน รวมถึงได้พัฒนาแพลตฟอร์ม Reinvent Thailand – A Platform for Sustainable Policy Execution เปิดพื้นที่ให้ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมในการเสนอแนะแนวทางและสร้างแนวร่วมการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ โดย ภาคเอกชนจะร่วมเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อน และอาศัยการสนับสนุนจากภาครัฐต่อไป
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การเมืองในตอนนี้ถือว่าสร้างความชะงักงันในการเดินหน้าต่อ เพราะไม่รู้ว่าควรจะไปซ้ายหรือขวา ในแง่เอกชนพูดตลอดเวลาอยู่แล้วว่า ต้องการความชัดเจน มีรัฐบาลที่ดี ชอบธรรมด้วยกฎหมาย เป็นที่ยอมรับต่อนานาชาติและประชาชน มีความสามารถในการบริหาร เพราะตอนนี้เรายืนอยู่ในภาวะที่เจออุปสรรคเต็มไปหมด ไม่ใช่เพียงเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่มีปัจจัยลบทั้งภายนอกและภายใน อาทิ ภูมิรัฐศาสตร์ ปัญหาปะทะชายแดน ทำให้หากรัฐบาลไม่เข้มแข็ง เอกชนก็เดินหน้าต่อลำบาก เพราะสิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ การจับจ่ายใช้สอยของประชาชนและการเบิกจ่ายของรัฐบาล
การเป็นรัฐบาลระยะเวลา 4 เดือนก่อนยุบสภาหรือยุบสภาทันทีตอนนี้นั้น ต้องบอกว่าความวุ่นวายที่เกิดขึ้นมีผลกระทบอยู่แล้ว แต่การเป็นรัฐบาล 4 เดือนก่อนถือเป็นคำตอบทางการเมือง และเชื่อว่าเป็นคำตอบของเศรษฐกิจด้วย เพราะนโยบายระยะยาวยังต้องใช้เวลาในการขับเคลื่อนมากกว่านี้ ส่วนสาเหตุที่ยังคงคาดการณ์จีดีพีไว้เท่าเดิม เพราะมองว่า การส่งออกยังสามารถบวกได้ มีคำสั่งซื้อเข้ามาค่อนข้างดี แม้มีอาการช็อกเกิดขึ้นบ้าง รวมถึงค่าเงินบาทแข็งค่า ทำให้การค้าขายแข่งกับต่างประเทศลำบาก แต่มองว่าส่งออกมีทิศทางบวกได้อยู่ รวมถึงการท่องเที่ยวที่ยังพอไปได้ แม้มีนักท่องเที่ยวชะลอตัวลงบ้าง แต่คาดว่ายังใกล้เคียงกับปี 2567 ที่ผ่านมา อยู่ที่ 35-36 ล้านคน ซึ่งหากมีการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะจีนเข้ามามากขึ้นจะดีมากขึ้น แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ทำมากเท่าที่ควร
ส่วน นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เอกชนต้องการนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ไม่ว่าจะเป็นใคร แต่ขอให้เป็นคนที่มีความรู้ เก่ง ดี และกล้าตัดสินใจ เพราะการเมืองที่ไร้เสถียรภาพจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568
ซึ่งปัจจุบันเบิกจ่ายได้เพียง 50% ต่ำกว่าเป้าหมายที่เคยทำได้ในอดีตถึง 60-70% ทำให้เม็ดเงินที่จะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจขาดหายไปอย่างน่าเป็นห่วง นอกจากนี้ การเจรจาทางการค้าที่สำคัญ เช่น การเจรจาเรื่องภาษีกับสหรัฐก็อาจสะดุดลงได้ หากไม่มี ครม.มารับเรื่องเข้าสภา
สำหรับการยุบสภาทันทีกับการรออีก 3-4 เดือน ภาคเอกชนมองว่า การเมืองที่ยืดเยื้อและหากปล่อยให้สถานการณ์ยิ่งขยายระยะเวลาออกไปจะยิ่งทำให้เศรษฐกิจและนักลงทุนรอดูท่าที (wait and see) ยาวนานขึ้น ซึ่งหากยุบสภา แล้วเลือกตั้งใหม่ หากคิดแบบไม่มีอะไรสะดุดไหลลื่นก็ใช้เวลาราว 6 เดือน แต่หากในกรณีเลวร้ายอาจใช้เวลาถึง 9-10 เดือน กว่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่ชัดเจน ส่งผลให้เศรษฐกิจไหลไปเรื่อย ๆ ไม่เป็นอัตราเร่ง
ทั้งนี้ กกร.ยืนยันว่าถึงแม้สถานการณ์การเมืองจะมีความเสี่ยงสูง แต่ภาคเอกชนก็พร้อมที่จะเดินหน้าร่วมมือกับภาครัฐ โดยเฉพาะการผลักดันแพลตฟอร์ม Reinvent Thailand ที่ได้ร่วมกับภาครัฐพัฒนาขึ้น เพื่อเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศอย่างยั่งยืน ทั้งปัญหาหนี้ครัวเรือน และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคเอกชน เพื่อให้ประเทศไทยกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง
#กกร