กรมอุตุนิยมวิทยา อัพเดทสถานการณ์พายุเช้าวันนี้ (25/8/68)เมื่อเวลา 07.00 น. : พายุไต้ฝุ่น"คาจิกิ" บริเวณทะเลจีนใต้ตอนบน (อ่าวเกี๋ย) มีศูนย์กลางห่างจากเมืองวิญ ประเทศเวียดนาม 150 กม. ยังเคลื่อนตัวทางตะวันตกค่อนไปทางเหนือเล็กน้อย จะเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามตอนบนช่วงบ่ายถึงค่ำวันนี้ และ เคลื่อนสู่ สปป.ลาว ต่อไป หลังจากนั้นจะอ่อนกำลังลงตามลำดับพายุอาจจะส่งผลกระทบทางภาคอีสานตอนบนและด้านตะวันออก มีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง บริเวณภาคอีสานตอนบน และภาคเหนือ ช่วง 25 - 27 ส.ค.68 ต้องเตรียมการรับมือ (ทิศทางและความแรงของพายุอาจมีการเปลี่ยนแปลง) ติดตามประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด
รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิตโพสต์เช้าวันนี้ ระบุว่า ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ปัจจุบันพายุคาจิกิพัฒนาเป็นพายุไต้ฝุ่นรุนแรง (ศูนย์อุตุฯฮ่องกง) ทำให้มีมความรุนแรงมากกว่าพายุวิภา โดยคาจิกิสามารถเดินทางไปได้ไกลถึงเมียนมา และสร้างความเสียหายพื้นที่ต่างๆตามเส้นทางในกรอบเฉดสีส้ม และสีเหลือง
อิทธิพลพายุจะทำให้ฝนตกหนักมาก ความรุนแรงของปริมาณฝนสะสมคาดการณ์ 2 วัน เฉดสีส้ม (> 0. และเหลือง (< 0.7) และความรุนแรงของปริมาณฝนรายวัน เฉดสีน้ำเงิน (> 0. และเฉดสีฟ้า (0.6-0.7) พื้นที่จังหวัดใดอยู่ในเฉดสีใด จึงต้องเตรียมความพร้อมรับมือกับความเสี่ยงน้ำไหลหลาก และน้ำท่วมชุมชนด้วย ล่าสุดปริมาณฝนสะสม 2 วัน คาดการณ์สูงสุดที่พื้นที่ตอนบน จ.น่านมีมากกว่า 500 mm (โอกาส 10%) ดังนั้น จึงต้องเตรียมพร้อมรับขั้นสูงสุด
น้ำไหลหลาก น้ำท่วมชุมชน จะเกิดขึ้นแน่นนอน และรุนแรงตามเฉดสีน้ำเงินที่ Update นี้ แต่น้ำล้นตลิ่งสำหรับแม่น้ำสายใหญ่ เช่นกรณีแม่น้ำน่าน (สถานี N1 เมืองน่าน ปริมาณน้ำปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 14.5% เทียบกับช่วงก่อนพายุวิภาอยู่ที่ 36%) กรณีแม่น้ำยม (สถานี Y1C บ้านน้ำโค้ง ปริมาณน้ำปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 15% เทียบกับช่วงก่อนพายุวิภาอยู่ที่ 26%) จากความจุปริมาณน้ำที่ยังรับได้อีกประมาณ 85% ของลำน้ำ ก็คงบรรเทาเหตุการณ์น้ำล้นตลิ่งได้บ้าง อย่างไรก็ตามหากปริมาณฝนตกรุนแรงมากตามที่คาดการณ์ ความเสียหายย่อมมากตามไปด้วย
ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ และภาคีเครือข่ายอยู่ระหว่างการเฝ้าระวัง และติดตามสถานการณ์อย่างเข้มข้น ด้วยการเปิด War Room 4 ประสาน (ศูนย์เตือนภัยฯ กรมป้องกัน และบรรเทาสาธารณภัย กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรธรณี และกรมชลประทาน)
ดังนั้นจังหวัดที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงจึงควรตั้ง War room ส่วนหน้าคู่ขนานเพื่อความคล่องตัวในการบริหารจัดการ (ตั้งแต่การเฝ้าระวังและเตือนภัย การเผชิญเหตุ และการจัดกำลังตอบโต้สถานการณ์ การเตรียมการอพยพ และการฟื้นฟู เป็นต้น)