นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา กล่าวถึงการฟ้องดำเนินคดีเพื่อเอาผิดกับผู้นำกัมพูชา ตามกฏหมายไทย จากสถานการณ์ปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า เป็นการนำตัวผู้กระทำผิด ผู้สั่งการมาดำเนินคดีในประเทศไทย ทั้งนี้ ในกรณีที่ไม่สามารถนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษในประเทศได้ ก็เป็นเพราะมีเอกสิทธิ์คุ้มครองตามกฏหมายระหว่างประเทศ
แต่ในกรณีของคนที่ไม่มีเอกสิทธิ์คุ้มครอง ถ้าเข้ามาในประเทศไทย จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายไทย โดยอัยการสูงสุด จะเป็นผู้ดำเนินการตามหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญาวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 20 เนื่องจากคดีนี้ มีความผิดทางอาญาหลายกระทง ทั้งความมั่นคงนอกราชอาณาจักร การฆ่าคน และมีผู้เสียชีวิต ความผิดต่อทรัพย์สิน รวมถึงทรัพย์สินเสียหาย โดยขั้นตอนต่อจากนี้ ตำรวจภูธรภาค 3 จะรวบรวมหลักฐานส่งให้อัยการสูงสุดดำเนินคดี
ส่วนเรื่องความเสียหายทางแพ่ง ทั้งที่เกิดในส่วนราชการ และภาคเอกชนนั้น กระทรวงมหาดไทย จะเป็นผู้รวบรวมข้อมูลจากประชาชน เพื่อแจ้งความดำเนินคดี และเรียกร้องค่าเสียหายให้กับประชาชน โดยจะขอให้อัยการเข้ามาช่วยเหลือ ทั้งนี้ หากสามารถดำเนินคดีเอาผิดทางแพ่งและสืบทรัพย์ของผู้กระทำผิด ว่ามีทรัพย์สินอยู่ในประเทศไทย ก็สามารถดำเนินไปตามกระบวนการ เพื่อนำทรัพย์มาชดเชยให้ประชาชนที่เสียหายได้
'พอจะฟ้องกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่มีใครเดือดร้อน แต่พอบอกว่าจะดำเนินคดีตามกฏหมายไทย กลับโมโหขึ้นมา อันนี้น่าแปลก' นายปกรณ์ กล่าว
ส่วนกรณีที่สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ระบุจะฟ้องดำเนินคดีกับผู้นำไทยด้วยนั้น เลขาธิการกฤษฎีกา กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับกฎหมายแต่ละประเทศ จะไม่ขอก้าวล่วงซึ่งกันและกัน
#ฟ้องแพ่งกัมพูชา