นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ยอมรับว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่เข้ามากระทบ ทั้งเรื่องเศรษฐกิจโลก ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ การย้ายฐานการผลิต รวมถึงมาตรการภาษีของสหรัฐ ฯ รองนายกฯ และรมว.คลัง มองว่า กรณีมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ไม่ได้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทยแย่ไปกว่าเดิม แต่เมื่อมีปัญหามาตรการภาษีสหรัฐฯ เข้ามา ทำให้เศรษฐกิจของทุกประเทศชะลอตัวลงเหมือนกันหมด ดังนั้น ไทยอาจจะใช้โอกาสนี้เพื่อเริ่มปรับปรุงโครงสร้างเศรษฐกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่าหากไทยสามารถปรับโครงสร้างเศรษฐกิจได้ ก็มีโอกาสที่ GDP จะขยายตัวได้มากกว่า 2%
สำหรับเรื่องมาตรการภาษีสหรัฐฯ ในส่วนของสินค้าสวมสิทธิ์ (transshipment) นั้น นายพิชัย ระบุว่า หากเป็นสินค้า transshipment โดยสมบูรณ์ ไทยมีความกังวลน้อยมาก เมื่อเทียบกับสินค้า transshipment ที่ผ่านเข้ามาแล้วแทบไม่ได้ทำอะไรเลย แต่มีการส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพราะตรงนี้ไทยไม่ได้ประโยชน์อะไรเท่าไร ไม่มีมูลค่าเพิ่ม และไทยก็ไม่สนับสนุนเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว
"วิธีการที่ดีที่สุด คือ การเข้าไปเข้มงวดในการออกใบแสดงถิ่นกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin) หากไทยมีการตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้า และไม่ออกใบแสดงถิ่นกำเนิดสินค้าให้กับสินค้าที่เป็น transshipment ซึ่งเมื่อสินค้าเหล่านี้ส่งออกไม่ได้ ก็ขายไม่ได้ ตรงนี้เป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ง่าย และดีที่สุด
ส่วนสถานการณ์หนี้ของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ที่ปัจจุบันอยู่ในระดับสูงถึง 1 ล้านล้านบาทนั้น นายพิชัย ระบุว่า หากพิจารณาลงในรายละเอียดจะพบว่า มีเพียง 2 รัฐวิสาหกิจที่มีปัญหาค่อนข้างมาก คือ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.)
ส่วนของ ขสมก.นั้น การจะแก้ปัญหาได้ ต้องผ่านเรื่องรถเมล์ไฟฟ้าให้ได้ก่อน ส่วน รฟท. นั้นอาจจะต้องมีการแยกบัญชีกับหนี้เดิมที่มีอยู่ เพื่อตัดค่าเสื่อมออกมาทั้งหมด ส่วนการลงทุนรถไฟฟ้าสายใหม่ ๆ ที่มีการลงทุนจำนวนมาก จะทำให้มีค่าเสื่อมเยอะ ซึ่งอาจจะขาดทุนมากในระยะแรก ก็ต้องมาดูกระบวนการบริหารจัดการ โดยเชื่อว่าหากทำมาถูกทาง จัดกลุ่มหนี้ให้ดี ก็น่าจะสามารถแก้ปัญหาได้จบ