นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าและดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังอยู่ในระดับที่ลดลง ซึ่งดัชนีทั้ง 2 รายการตกลงต่อเนื่อง เพราะทั้งผู้บริโภคและภาคธุรกิจเอง กังวลปัญหา เสถียรภาพรัฐบาล สงครามการค้าจากนโยบาย Trump 2.0 และความขัดแย้งไทยกับกัมพูชา ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยซึมลงต่อเนื่อง
แม้ว่ารัฐบาลจะออกมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจและธนาคารแห่งประเทศไทยจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายตั้งแต่ต้นปีมาแล้ว 2 ครั้ง รวม 0.5% อยู่ที่ 1.75% แต่รู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยยังฟื้นช้าและการเข้าถึงสินเชื่อลำบาก ดังนั้นจึงต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งหามาตรการเข้าดูแลช่วยเหลือเพราะต้องยอมรับว่าพระเอกเอกชนหรือผู้บริโภคยังให้ความกังวลรวมไปถึงสถานการณ์กัมพูชาด้วย
นายวาทิตร รักษ์ธรรม ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือน ก.ค. 2568 ว่า ดัชนีปรับตัวลดลงจากระดับ 52.7 เป็น 51.7 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 และอยู่ในระดับที่ต่ำสุดในรอบ 31 เดือน นับตั้งแต่เดือน ม.ค. 2566 เป็นต้นมา
การที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมยังคงเคลื่อนไหวคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 100 แสดงให้เห็นว่า ผู้บริโภคยังเห็นว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมยังคงฟื้นตัวช้า ค่าครองชีพสูง และมีปัญหาสงครามการค้า สงครามชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่มีโอกาสบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งในปัจจุบันและในอนาคตให้ปรับลดลงได้อย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของภาคธุรกิจนั้นดัชนีความเชื่อมั่นตกลงทุกภาคและมีค่าต่ำกว่า 50 จึงเสนอให้ภาครัฐ เร่งดำเนินการในการแก้ไข ปัญหา ได้แก่ แผนการเจรจาต่อรองภาษีกับประเทศมหาอำนาจที่มีผลต่อการส่งออกสินค้าที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย และการรับมือกับการปรับขึ้นอัตราภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐ อย่างเป็นรูปธรรม
ออกมาตรการป้องกันและรับมือกับสถานการณ์ชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา รวมทั้งการบริหารจัดการการค้าชายแดน, หามาตรการป้องกันภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายในวงกว้าง, หามาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย เช่น มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง มาตรการกระตุ้นที่สามารถเพิ่มยอดคำสั่งซื้อสินค้า/บริการในทุกสาขาธุรกิจ
รวมทั้งขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย รักษาเสถียรภาพของค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมต่อการส่งออกและภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันและสามารถแข่งขันกับคู่แข่งในภูมิภาคได้ รวมไปถึงออกมาตรการส่งเสริมช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ อย่างไรก็ตาม มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยยังคงเป้าการเติบโตเศรษฐกิจไทยปีนี้ไว้ที่ 1.5-2% หรือค่ากลางที่ 1.7%
นายวชิร คูณทวีเทพ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายยุทธศาสตร์ และผู้อำนวยการสถาบันยุทธศาสตร์การค้า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย (ภาคธุรกิจ) เดือน ก.ค. 2568 ว่า ดัชนีปรับลดลงจากระดับ 46.7 เป็น 45.9 โดยยังคงมีสัญญาณปรับลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน และอยู่ในระดับที่ต่ำสุดในรอบ 31 เดือน
ขณะที่แนวทางการดำเนินการในการแก้ไขปัญหา มองว่าต้องวางแผนรับมือการปรับขึ้นอัตราภาษียังเป็นรูปธรรม หามาตรการป้องกันและรับมือสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หามาตรการป้องกันภัยธรรมชาติที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต หามาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายการรักษาเสถียรภาพค่าเงินบาท รวมไปถึงการส่งเสริมการช่วยเหลือธุรกิจ SMEs
#ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค
#ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ