ในงานเสวนา Trumps Tariffs: ไทยจะอยู่รอดได้อย่างไร นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล นายกสมาคมเศรษฐศาสตร์แห่งประเทศไทย และประธานสภา ธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผย ว่า เศรษฐกิจไทยปี 68 น่าจะเติบโตที่ 1.5-2% หลังจากไทยสามารถบรรลุกข้อตกลงด้านภาษีกับสหรัฐ ที่ 19% ซึ่งเป็นที่น่าพอใจ แม้ว่าข้อเสนอของไทยจะไม่ได้ดีเท่าเวียดนาม หรืออินโดนีเซีย ที่เสนอเปิดตลาดภาษี 0% ทุกรายการให้กับสหรัฐฯ แต่ไทยก็ยังได้อัตราภาษีที่สามารถแข่งขันกับภูมิภาคได้ และต่ำกว่าประเทศคู่แข่งสำคัญอย่างจีนหรืออินเดีย ทำให้ภาคการส่งออกไทยยังไม่น่าเป็นห่วง แต่ก็ยังไม่สามารถนิ่งนอนใจได้
สำหรับผลกระทบจากดีลการค้าของไทยกับสหรัฐฯ นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า รัฐบาลอาจไม่ต้องเยียวยาภาคส่งออกมากเท่าที่เคยประเมินไว้เดิม เนื่องจากเราได้อัตราภาษีต่ำกว่าที่คาดการณ์เดิมที่ 25% จึงควรเตรียมการจัดสรรงบประมาณให้เหมาะสมกับผู้ที่ได้รับผลกระทบหนัก โดยเฉพาะภาคเกษตร จากการเปิดรับสินค้าสหรัฐ
รวมถึง SME ไทยที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากสินค้าจีนที่จะทะลักเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น โดยทางออกที่ง่ายที่สุดคือการกำหนดให้ 50% ของการจัดซื้อจัดจ้างจากภาครัฐเป็นสินค้าของ SME ไทยและผลิตในประเทศเป็นสำคัญ ใกล้เคียงกับกฎเกณฑ์ที่เคยทำในอดีต รวมถึงการผลักดันการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วย SME ได้ดี และสนับสนุนให้ SME สามารถได้รับสินเชื่อได้ง่ายขึ้นเพื่อช่วยต่อลมหายใจให้กับผู้ประกอบการรายย่อย
นอกจากนี้ ยังอยากให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติลดดอกเบี้ยลงตั้งแต่เนิ่น ๆ ประมาณ 1-2 ครั้งในปีนี้ โดยมองว่าตอนนี้ไทยยังไม่มีปัญหาเงินเฟ้อและเศรษฐกิจก็ไม่ได้ดี จึงเป็นโอกาสที่จะช่วยประคองโมเมนตัมที่พอมีอยู่ในตอนนี้ และซื้อประกันให้กับประเทศหากเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา
ส่วนของสถานการณ์การเมืองตอนนี้ นายกอบศักดิ์ มองว่าความไม่แน่นอนจะทำให้กระบวนการของข้าราชการเกิดความล่าช้า ไม่กล้าดำเนินงานจนกว่าจะได้คำตอบว่ารัฐบาลจะสามารถไปต่อได้หรือไม่ การกระตุ้นเศรษฐกิจจึงอาจทำได้ยาก ดังนั้น เราควรสรุปเรื่องนี้ให้เร็ว เพราะเรามีปัญหาจากทั้งระบบนานาชาติ ชายแดน และภายในประเทศ