นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 เพิ่มขึ้น โดยคาดว่าจะขยายตัวที่ 2.2% ต่อปี จากเดิมที่ประเมินไว้ 2.1% (เมษายน 2568) ภายใต้สถานการณ์นโยบายภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐ และผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศของประเทศคู่ค้าของไทย โดยสอดคล้องกับทิศทางของเศรษฐกิจโลกและการปรับประมาณการของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่คาดว่า GDP ประเทศไทยจะเติบโต 2.0% จากเดิมที่คาดว่าจะอยู่ที่ 1.8% ภายใต้บริบทของเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะขยายตัว 3.0%
สำหรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยมีแรงขับเคลื่อนหลักจาก 3 ปัจจัย ได้แก่ การผลิตภาคอุตสาหกรรม การส่งออก และการบริโภคภายในประเทศ โดยคาดว่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมจะกลับมาขยายตัวที่ 1.2% ต่อปี (ในช่วงคาดการณ์ 0.7-1.7%) พลิกจากปีที่แล้วที่หดตัว -0.4% ตามการฟื้นตัวของกลุ่มยานยนต์ ชิ้นส่วน และแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์
ด้านมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐ คาดว่าจะขยายตัว 5.5% ต่อปี (ช่วงคาดการณ์ 5.0-6.0%) ปรับขึ้นจากประมาณการเดิมที่ 2.3% โดยได้รับแรงหนุนจากการนำเข้าที่เร่งตัวของประเทศคู่ค้าในครึ่งปีแรก ขณะที่การนำเข้าสินค้าคาดว่าจะโต 5.0% (ช่วงคาดการณ์ 4.5-5.5%) ส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าสินค้าทุนเพื่อการผลิตส่งออก ทั้งนี้ยังมีความคาดหวังว่าไทยจะได้รับการผ่อนปรนภาษีนำเข้าจากสหรัฐ ภายในไตรมาส 3/2568 แม้จะยังมีความเสี่ยงจากมาตรการภาษีของสหรัฐ ในช่วงครึ่งปีหลัง
ประเทศไทยคาดว่าจะได้รับข้อตกลงผ่อนปรนภาษีนำเข้าสหรัฐ (Reciprocal Tariffs) ภายในไตรมาส 3 ปี 2568 โดยอัตราภาษีที่ได้รับน่าจะอยู่ในช่วง 15-36% แต่ไม่น่าจะสูงถึง 36% และไม่ต่ำกว่า 15% โดยประเมินว่าไทยจะได้รับเงื่อนไขใกล้เคียงกับประเทศอื่นในอาเซียน เช่น เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น ซึ่งสหรัฐได้มีการผ่อนปรนให้กับประเทศที่ตกลงสำเร็จแล้ว”
การบริโภคภาคเอกชนยังเป็นแรงหนุนสำคัญ คาดว่าจะขยายตัว 3.1% (ช่วงคาดการณ์ 2.6-3.6%) สะท้อนจากแนวโน้มภาษีมูลค่าเพิ่มที่ขยายตัวต่อเนื่อง 9 ไตรมาส ส่วนการลงทุนภาคเอกชนขยายตัว 3.0% (ช่วงคาดการณ์ 2.5-3.5%) เพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิมที่ 0.4% ตามคำขอรับส่งเสริมการลงทุนจาก BOI มูลค่ารวมกว่า 1 ล้านล้านบาท จาก 1,880 โครงการในครึ่งปีแรก
ขณะที่การบริโภคภาครัฐคาดว่าจะเติบโต 1.2% (ช่วงคาดการณ์ 0.7-1.7%) ส่วนการลงทุนภาครัฐขยายตัว 3.9% (ช่วงคาดการณ์ 3.4-4.4%) โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ และการเดินหน้าโครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาครัฐ วงเงินรวม 157,000 ล้านบาท ซึ่ง ครม.ได้อนุมัติแล้วกว่า 115,000 ล้านบาท ครอบคลุมทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน (น้ำ คมนาคม) การท่องเที่ยว เพิ่มผลิตภาพภาคส่งออก และเศรษฐกิจชุมชน
ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจในประเทศยังแข็งแกร่ง คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 0.4% (ช่วงคาดการณ์ -0.1% ถึง 0.9%) ขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 14.6 พันล้านดอลลาร์ หรือ 2.9% ของ GDP
สำหรับประเด็นผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ประเมินว่าผลกระทบมีจำกัดอยู่ในพื้นที่ชายแดนและความเสียหายด้านทรัพย์สินและเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้ทางการทหาร ซึ่งกระทรวงการคลังได้ให้ความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาผลกระทบต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบจากกรณีพิพาทชายแดน ประกอบด้วย
การขยายวงเงินทดรองราชการให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ จังหวัดละ 100 ล้านบาท และพร้อมพิจารณาขยายเพิ่มหากไม่เพียงพอเพื่อให้จังหวัดสามารถบริหารจัดการได้อย่างคล่องตัว การเลื่อนกำหนดเวลาชำระภาษี การให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเสริมสภาพคล่องและพักชำระหนี้ เพื่อรวมฟื้นเศรษฐกิจชายแดนไทย-กัมพูชา
ในระยะต่อจากนี้ไป ควรติดตามปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างใกล้ชิด ได้แก่
1.นโยบายด้านภาษีของสหรัฐ และผลกระทบทางอ้อมจากการไหลเข้าของสินค้าจากประเทศที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายด้านภาษีที่ย้ายตลาดเข้าสู่ไทยมากขึ้น
2.ทิศทางของการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ
3.ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ทั้งในและนอกประเทศ
4.ระดับหนี้ครัวเรือนของภาคประชาชน
5.การย้ายฐานการลงทุนและการผลิตในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายด้านภาษีของสหรัฐ
#กระทรวงการคลัง
#ปรับจีดีพีปี68