ประเด็นอุยกูร์กระทบความสัมพันธ์ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของกระทรวงต่างประเทศที่จะทำความเข้าใจ และสื่อสารไปยังผู้เข้าใจผิด ทำให้มีผลกระทบต่อสถานทูตไทยในตุรกี า การปฏิบัติบางอย่างในรายละเอียด คงต้องให้ผู้เกี่ยวข้องอย่างกระทรวงการต่างประเทศ และสมช.ชี้แจงจะเหมาะสมกว่า ถ้าเป็นเรื่องที่ประชาชนสนใจในรายละเอียดเพิ่มเติม มิฉะนั้นจะเป็นการไปก้าวก่าย
ล่าสุด สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงอังการา ประเทศตุรกี ได้ประกาศผ่านเว็บไซต์เฟซบุ๊ก ถึงสถานการณ์ในประเทศตุรกีล่าสุด ว่า ขณะนี้มีกลุ่มผู้ชุมนุมจำนวนหนึ่งอยู่หน้าสถานเอกอัครราชทูตไทยฯ ดังนั้นสถานเอกอัครราชทูตไทยฯ จึงขอให้ประชาชนไทยงดเดินทางมาที่สถานเอกอัครราชทูตไทยฯ เป็นการชั่วคราว
ดร.วิสุทธิ์ บิลล่าเต๊ะ หัวหน้าฝ่ายวิชาการและการต่างประเทศ คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสงขลา กล่าวว่า หากรัฐบาลไทยดำเนินการด้วยการส่งตัวอุยกูร์ให้กับประเทศจีน เท่ากับประเทศไทยได้ละเมิดสิทธิมนุษยชน เพราะการส่งอุยกูร์ให้ทางการจีน เท่ากับส่งเขาไปตาย เพราะจีนไม่ได้สนใจเรื่องการคารพสิทธิมนุษยชน การเคารพในการนับถือศาสนา ซึ่ง”อุยกูร์”เขามีปัจจัยทางศาสนา ปัจจัยทางเชื้อชาติจนทำให้เขาไม่สามารถที่จะรับรัฐบาลจีน เขาจึงลุกขึ้นมาต่อสู้ ส่วนการเข้าไปดูแลอุยกูร์ในขณะที่ควบคุมตัวอยู่ จ.สงขลา ซึ่งขณะนี้ทราบว่ายังมีอยู่ประมาณ 50 คน คือ การเข้าไปดูแลเรื่องการทำอาหารเลี้ยง โดยมีองค์กรที่เขาสนับสนุนงบประมาณในการเลี้ยงอาหาร ซึ่งการดูแลอุยกูร์จะดีกว่าการดูแลโรฮิงญา เนื่องจากอุยกูร์มีองค์กรต่างที่คอยให้การช่วยเหลือด้านงบประมาณด้านอาหาร
รายงานข่าวจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ข้อมูลว่า หลายปีที่ผ่านมามีเครือข่ายซึ่งเชื่อมโยงกันระหว่างชาวบังคลาเทศ ปากีสถาน และไทย ซึ่งมีถิ่นพำนักอยู่ในมาเลเซีย เข้าไปนำพาชาวอุยกูร์ออกจากเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศจีน ติดกับคาซัคสถานและปากีสถาน เพื่ออพยพไปยังประเทศตุรกี โดยใช้ไทย และมาเลเซีย เป็นทางผ่าน โดยเครือข่ายนำพาชาวอุยกูร์จะคิดค่าบริการนำพาราว 4 หมื่นดอลล่าร์สหรัฐ หรือราว 1 ล้านบาทต่อหัว
เส้นทางการนำพาจะเริ่มจากมีนายหน้าชาวบังคลาเทศเข้าไปติดต่อชาวอุยกูร์ที่ต้องการอพยพไปยังตุรกี เมื่อตกลงได้จะพาขึ้นเครื่องบินจากซินเจียงเดินทางมายัง 12 ปันนา หลังจากนั้นจะเดินทางต่อทางรถยนต์เข้าไทยใน 3 เส้นทาง คือจาก 12 ปันนา ผ่านเมียนมาร์เข้าไทยที่แม่สาย และเชียงแสน จ.เชียงราย เส้นทางที่ 2 จาก 12 ปันนา ใช้รถยนต์เข้าหลวงพระบาง หรือเวียงจันทร์ เข้าไทยที่ จ.มุกดาหาร และ จ.หนองคาย เส้นทางที่ 3 จาก 12 ปันนา ใช้รถยนต์ไปเวียดนาม วกเข้ากัมพูชา เข้าไทยที่ อ.คลองลึก จ.สระแก้ว และ อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี หลังจากนั้นจะทิ้งหนังสือเดินทางจีนให้เจ้าหน้าที่ไทยจับเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์สัญชาติอ้างว่าตัวเองเป็นชาวเติร์กเพื่อจะได้รับการส่งตัวไปยังตุรกีโดยได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ทางการทูตตุรกีประจำประเทศไทยบางราย
ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงเจ้าหน้าที่ภายในสถานทูตตุรกีประจำประเทศไทย ซึ่งมีการโยกย้ายไปประจำที่มาเลเซีย เครือข่ายนำพาชาวอุยกูร์จึงเปลี่ยนเส้นทาง โดยใช้วิธีการนั่งเครื่องบินจากซินเจียงไปลงที่เวียดนาม ใช้รถยนต์เข้ากัมพูชา ผ่านเข้าประเทศไทยที่ อ.คลองลึก จ.สระแก้ว และ อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี เดินทางโดยรถไฟมายังหัวลำโพงต่อไปยัง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ผ่านไปยัง อ.สะเดา เข้ามาเลเซีย หรือใช้รถตู้ไปยัง อ.หาดใหญ่ เข้าไปยัง อ.สะเดา เข้ามาเลเซีย ก่อนได้รับการช่วยเหลือให้เดินทางไปยังตุรกี
เมื่อเดือนมีนาคม 2557 ทางการไทยเคยจับกุมผู้อพยพชาวอุยกูร์ ได้ที่บริเวณเทือกเขาแก้ว อ.สะเดา จ.สงขลา จำนวน 280 คน ซึ่งต่อมามีการพิสูจน์สัญชาติจนมีการส่งตัวไปยังตุรกีแล้ว 171 คน ส่วนอีก 109 คน ถูกส่งกลับไปยังประเทศจีน เพราะพิสูจน์สัญชาติแล้วพบว่าเป็นชาวจีน ในจำนวนนี้บางรายมีหมายจับของทางการจีน ในข้อหาเกี่ยวข้องกับการใช้ความรุนแรงในเหตุการณ์ประท้วงในจีนก่อนหน้านี้ ขณะนี้มีชาวอุยกูร์เพียงไม่กี่คนที่อยู่ระหว่างการกักตัวของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองไทย เพื่อรอกระบวนการพิสูจน์สัญชาติ หลังจากนั้นจะถูกผลักดันออกนอกประเทศ
แฟ้มภาพ