การประเมินสถานการณ์ภัยแล้ง หลังจากที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สำรวจเกษตรกร 1,200 ตัวอย่างทั่วประเทศ ศึกษาผลกระทบภัยแล้งช่วงที่ 1 ตั้งแต่หลังเดือนตุลาคมปี 2557 จนถึงพฤษภาคม 2558 และช่วงที่ 2 กลางเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม ที่มีปัญหาฝนทิ้งช่วง นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากปัญหาภัยแล้งโดยเฉพาะรอบ 2 ที่สถานการณ์อาจคลี่คลายในช่วงเดือนกันยายน 2558 ครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูกข้าวเฉลี่ย 11 ล้านไร่ จากพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั่วประเทศ 60 ล้านไร่ ทำให้ต้องลดการเพาะปลูกหลายพื้นที่ ทำให้ปริมาณข้าวปีนี้หายไปประมาณ 4 ล้านตัน ผลกระทบดังกล่าวกระทบเศรษฐกิจไทยโดยรวมเป็นมูลค่า 68,144.97 ล้านบาท หรือกระทบผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ร้อยละ 0.52 กระทบอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยปีนี้โตไม่ถึงร้อยละ 3 ซึ่งก่อนหน้านี้หอการค้าไทยประเมินเศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ 3.2 ทำให้ปัญหาภัยแล้งครั้งนี้สุ่มเสี่ยงเศรษฐกิจขยายตัวต่ำกว่าอัตราดังกล่าว และเมื่อประเมินผลกระทบจากภัยแล้ง 2 ช่วง โดยเฉพาะรอบ 2 มีมูลค่าความเสียหายมากกว่า 35,000 ล้านบาท จากการประเมินของหอการค้าไทย พบว่า ปัญหาภัยแล้งครั้งนี้เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบหนักสุด คือ เกษตรกรรายย่อยที่มีพื้นที่เพาะปลูกน้อยกว่า 20 ไร่ ทำให้เกษตรกรมีหนี้นอกระบบเพื่อนำเงินมาใช้ในชีวิตประจำวัน
สำหรับข้อเสนอแนะ คือ อยากให้รัฐบาลเร่งอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ เพื่อทดแทนรายได้เกษตรกรที่ลดลง ซึ่งจะเป็นปัจจัยกระทบกำลังซื้อ โดยอัดฉีดไม่น้อยกว่า 70,000-100,000 ล้านบาท เพื่อพยุงเศรษฐกิจ แต่แนวทางให้ความช่วยเหลือเกษตรกรของรัฐบาล เน้นเรื่องการลดต้นทุนหรือสร้างงานเพื่อเพิ่มรายได้เกษตรกร จากสถานการณ์ปัจจุบันหอการค้าไทยเห็นว่าสามารถใช้มาตรการราคาเข้ามาทดแทนได้
CR:แฟ้มภาพ