+++การช่วยเหลือผ่อนปรนเรือประมงที่ไม่สามารถออกทำการประมงได้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เนื่องจากเรือประมงเหล่านั้นยังไม่ดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมาย รัฐบาลได้จัดชุดเคลื่อนที่ให้บริการแบบเบ็ดเสร็จไปในพื้นที่ 22 จังหวัดชายฝั่ง เพื่อให้บริการ ณ จุดที่เรือขึ้นท่า อำนวยความสะดวกให้แก่เจ้าของเรือ ไต๋เรือ และลูกเรือได้มาแสดงหลักฐานเอกสารเพื่อให้สามารถออกทำการประมงได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ต้องการให้ทุกอย่างมีความชัดเจน และเอื้อต่อชาวประมงที่ประกอบอาชีพสุจริตมากที่สุด โดยชุดเคลื่อนที่จะดำเนินการในช่วงระยะเวลา ระหว่างวันที่ 6-15 กรกฎาคม โดยแบ่งชุดปฏิบัติการออกเป็นหลายชุด ลงพื้นที่ครอบคลุมท่าเทียบเรือหลักทุกจังหวัด เพื่อให้บริการ หลายเรื่อง เช่น จดทะเบียนเรือ ต่อใบอนุญาตการใช้เรือ ออกใบประกาศนียบัตรนายท้ายเรือ ผู้ควบคุมเรือ การเปลี่ยนแปลงรายการในใบอนุญาตใช้เรือ เป็นต้น
+++ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) หารือเรื่องการทำประมงพื้นบ้าน ที่มีอยู่กว่า 30,000 ลำ ต้องหาวิธีดูแลไม่ให้ได้รับผลกระทบ เพราะแม้ว่าตอนนี้ประมงพื้นบ้านจะออกเรือทำการประมงได้ แต่ก็ยังติดขัดระเบียบบางประการ เช่น การกำหนดให้จับสัตว์น้ำได้เพียงชนิดเดียว ต้องไปดูว่า ระเบียบจะต้องปรับปรุงอย่างไร เพื่อช่วยเหลือไม่ให้ประมงพื้นบ้านได้รับความเดือดร้อน
+++พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า ขณะนี้จะยังไม่ให้มีการปรับขึ้นค่าโดยสารแท็กซี่รอบสอง อีกร้อยละ 5 เนื่องจากผลการประเมินความพึงพอใจของผู้โดยสารในการใช้บริการแท็กซี่ยังต่ำกว่าร้อยละ 50 ดังนั้น จะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการคนกลางจากภายนอกเข้ามาประเมินและสรุปผลภายในวันที่ 31 ต.ค.นี้ พร้อมทั้งมอบหมายให้นายพงษ์ไชย เกษมทวีศักดิ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม พิจารณาเรื่องดังกล่าว ตามข้อตกลงกับผู้ประกอบการแท็กซี่ จะปรับขึ้นค่าโดยสารอีกร้อยละ 5 ได้หากผลประเมินได้ตามมาตรฐานคือร้อยละ 75 แต่ผลประเมินล่าสุดจากผู้โดยสาร 26,000 คน พบว่าต่ำกว่าเกณฑ์ และไม่ถึงร้อยละ 50 นอกจากนี้ยังพบว่าปัญหาเรื่องการพูดจาไม่สุภาพ แต่งกายไม่เรียบร้อย สภาพรถไม่มีการดูแล และมีการปฏิเสธผู้โดยสารมีอยู่มาก
+++ด้านนายวิฑูรย์ แนวพานิช ประธานเครือข่ายสหกรณ์แท็กซี่ในเขตกรุงเทพมหานคร ยื่นหนังสือต่อ พล.อ.อ.ประจิน เนื่องจากขณะนี้ผู้ขับรถแท็กซี่ได้รับผลกระทบจากค่าครองชีพที่สูงขึ้นรวมถึงแบกรับต้นทุนค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้น
+++พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงกรณีบริษัทแท็กซี่ ระบุถ้าชะลอการปรับมิเตอร์ขึ้นให้ก็จะหยุดวิ่งให้บริการว่า ถ้าชะลอก็ต้องชะลอ ต้องฟังคณะกรรมการของกระทรวงคมนาคม รัฐมนตรี และหารถอื่นมาวิ่งแทน
+++กรณีที่ศูนย์ปรองดองสมานฉันท์เพื่อการปฎิรูป (ศปป.) มีแนวทางเชิญแกนนำพรรคการเมืองมาออกรายการเดินหน้าปฎิรูป พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวว่า เป็นแนวคิดในการเปิดช่องทางให้แต่ละกลุ่มได้แสดงความคิดเห็น และนายกฯ เห็นว่าจะเป็นประโยชน์ นำข้อมูลเหล่านั้นไปสู่การทำแผนแนวทางปฎิรูปที่เป็นประโยชน์ ศปป. จะเชิญทุกกลุ่มทุกฝ่ายรวมถึงน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งต้องดูความพร้อมของบุคคลที่เชิญด้วย
+++นายศรีอัมพร ศาลิคุปต์ ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา อดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่ง ธนบุรี กล่าวถึง ค่าธรรมเนียมคดีแพ่งในการฟ้องเรียกค่าเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่า ตามบัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เรื่องค่าธรรมเนียมศาลตามตาราง 1 นั้นระบุว่า ฝ่ายโจทก์จะต้องเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมศาลจากจำนวน ทุนทรัพย์(ความเสียหายรวมดอกเบี้ย) ร้อยละ 2 ในกรณีที่ทุนทรัพย์นั้นไม่เกิน 50 ล้านบาท แต่ค่าธรรมเนียมในส่วนนี้จะไม่เกิน 2 แสนบาท แต่หากมีทุนทรัพย์เกินกว่า 50 ล้านบาทขึ้นไปคิดค่าธรรมเนียมร้อยละ 0.1 กระทรวงการคลังจะต้องเป็นผู้ที่จ่ายค่าธรรมเนียมศาลในการฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง ปัญหาเรื่องค่าธรรมเนียมศาล มองว่าไม่ใช่เหตุผลสาระสำคัญ เพราะหากคำนวณตามหลักเกณฑ์ต้องเสียจริงถือว่าไม่มาก และค่าธรรมเนียมที่กระทรวงการคลังจะต้องถูกบังคับให้เสียที่ศาลนั้น ในภายหลังศาลก็จะต้องส่งคืนกระทรวงการคลังอยู่ดี ไม่ได้เก็บไว้เองเพราะเป็นรายได้แผ่นดิน ปัญหาที่ว่า การเสียค่าธรรมเนียมศาลไม่ใช่เหตุผลสำคัญ
+++นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า กระทรวงเตรียมนำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัปดาห์หน้า พิจารณาร่างยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวไทย พ.ศ.2558-2560 แบบบูรณาการ 8 กระทรวง เพื่อวางรากฐานการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวให้ประเทศไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีคุณภาพและยั่งยืน พร้อมทั้งเสนอ ครม.พิจารณายกเลิกการตั้งเป้าจำนวนนักท่องเที่ยวบรรจุในแผนท่องเที่ยวประจำปี แต่จะพยายามรักษาจำนวนนักท่องเที่ยวมาเที่ยวไทยที่เหมาะสมอยู่ในระดับ 28-30 ล้านคนต่อปี และหันไปสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดสร้างมูลค่าสินค้าท่องเที่ยวไทย เพิ่มค่าใช้จ่ายต่อหัวต่อทริปมากขึ้นร้อยละ 10-15 ภายใน 2 ปี จากปัจจุบันค่าใช้จ่ายนักท่องเที่ยวต่างชาติเฉลี่ยอยู่ที่ 4,950 บาท
+++นางกอบกาญจน์ กล่าวว่า สำหรับการแก้ปัญหาเรื่องทัวร์ศูนย์เหรียญยอมรับว่าปัญหานี้เกิดขึ้นกับทุกประเทศที่ทัวร์จีนไปเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นรูปแบบธุรกิจที่ฝังลึกมานาน คงไม่สามารถไปเปลี่ยนพฤติกรรมได้ และต้องเข้าใจด้วยว่าทัวร์ศูนย์เหรียญไม่ได้ผิดกฎหมาย เป็นเรื่องที่พูดกันบนโต๊ะ เป็นการค้าขายแบบคนจีนที่ยอมขายทัวร์ขาดทุน เพื่อดึงนักท่องเที่ยวให้มาอยู่ในมือก่อน แล้วไปหากำไรเอาข้างหน้า แต่ถ้าเมื่อใดสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมาเที่ยวด้วยตัวเอง (เอฟไอที) สูงขึ้น เรื่องทัวร์ศูนย์เหรียญก็จะลดลง นางกอบกาญจน์ กล่าวว่า ทัวร์จีนที่มาเที่ยวไทยมีคุณภาพมากขึ้น ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น ทำให้กระทรวงต้องหาทางสร้างเม็ดเงินเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากที่สุด และในวันที่ 10 ก.ค.จะหารือปัญหาที่ นักธุรกิจจีนมาใช้ชื่อคนไทยเป็นนอมินีบริษัททัวร์ในไทย เพื่อรองรับทัวร์จีนทั้งระบบ ทั้งเปิดโรงแรม ร้านจิวเวลรี่ และร้านขายสินค้าต่างๆ สุดท้ายนำเงินกลับประเทศ
+++พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ได้จัดทำแผนพิเศษเพื่อผลักดันการส่งออกปี 2558 ให้ได้ตามเป้าหมายโตร้อยละ 1.2 และมีมูลค่า 2 แสน 30,254 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเท่ากับว่าในช่วง 7 เดือนที่เหลือต้องผลักดันมูลค่าการส่งออกอีก 1 แสน 41,560 ล้านเหรียญสหรัฐ ดังนั้น จึงได้จัดทำแผนพิเศษในการผลักดันสินค้า 4 กลุ่มหลัก ที่มีสัดส่วนร้อยละ 57 ของการส่งออกรวมขึ้นมา ได้แก่ 1.กลุ่มอุตสาหกรรมหนัก ประกอบด้วยรถยนต์ คอมพิวเตอร์ ผลิตภัณฑ์ยางพารา เครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้า มีเป้าหมายจะเพิ่มมูลค่าการส่งออกอีก 53,631 ล้านเหรียญสหรัฐ จากในช่วง 5 เดือน มีการส่งออกแล้ว 33,000 ล้านเหรียญสหรัฐ 2.กลุ่มอาหารและเกษตรแปรรูป จะต้องมูลค่าการส่งออกเพิ่มอีก 12,413 ล้านเหรียญสหรัฐ จากที่ได้มีการส่งออกไปแล้ว 7,575 ล้านเหรียญสหรัฐ 3.กลุ่มปิโตรเคมี และเม็ดพลาสติก จะส่งออกเพิ่มอีก 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จากทำได้แล้ว 6,300 ล้านเหรียญสหรัฐ 4.กลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับ จะต้องส่งออกเพิ่มอีก 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จากที่ได้ส่งออกไปแล้ว 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
+++คดีอาชญากรรม เมื่อคืนนี้ นางชนิตา ภัทรวานนท์ อายุ 54 ปี มารดาของนายศาสตรา สุขสม ผู้ต้องหาคดีปล้นรถขนเงินธนาคารกสิกรไทย สาขาโลตัส พระราม 1 เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน ที่ยังหลบหนีไปประเทศญี่ปุ่น เดินทางเข้าพบพลตำรวจโทศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พร้อมนำเงินสดจำนวนเกือบ 5 แสนบาท (496,090 บาท) มาส่งมอบให้กับเจ้าหน้าที่เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ นางชนิตา กล่าวว่า ลูกชายนำเงินสดมาฝากไว้เมื่อต้นเดือนก.ค. อ้างว่าเป็นเงินที่ได้มาจากการเล่นพนัน จากนั้นลูกชายบอกว่าจะเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่น แต่หลังจากทราบข่าวว่าลูกชายตกเป็นผู้ต้องหา จึงพยายามโทรศัพท์ติดต่อหาลูกชาย เมื่อวันที่ 6 ก.ค.ลูกชายได้ยอมรับว่าไปก่อเหตุปล้นรถขนเงินมาจริง อยากให้มามอบตัวกับตำรวจ ลูกชายพร้อมจะเข้ามอบตัว แต่ยังไม่รู้ว่าเมื่อใด พลตำรวจโทศรีวราห์ สอบสวนนางชนิตา ในฐานะพยาน นอกจากนี้นายศาสตรา ได้ซื้อรถยนต์ฮอนด้า ซีวิค ป้ายแดง ไปจอดไว้ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง ก่อนหลบหนีไปญี่ปุ่น เจ้าหน้าที่ได้ไปตรวจยึด รวมทั้งจะไปตรวจค้นบ้านของนางชนิตา ย่านบางเขน เพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติม