ดร.กอบศักดิ์ ชี้ปี 68 ไม่ง่าย ส่งออกอ่อนแรง-ธุรกิจปิดตัว เป้าหมายสำคัญคือการ ‘พยุงตัวเองให้รอด’

วันนี้, 14:03น.


          ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2568 ว่า ธนาคารกรุงเทพ เคยประเมินไว้ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วว่าจีดีพีจะขยายตัวประมาณ 3% ล่าสุดได้ปรับลดประมาณการลงมาอยู่ที่ 2% จากความเสี่ยงขาลง หลังเผชิญปัจจัยเสี่ยงทั้งในและต่างประเทศที่กดดันเศรษฐกิจมากกว่าคาด



          เมื่อเข้าสู่ไตรมาสสอง พบว่าหลายอย่างไม่เป็นไปตามที่คาด ทั้งสงครามการค้า ความไม่แน่นอนจากนโยบายของทรัมป์ แรงต้านจากนักท่องเที่ยวที่ลดลง ความไม่แน่นอนทางการเมือง ช่วงต้นปีตัวเลขส่งออกดูดีเพราะคู่ค้าบางประเทศเร่งสั่งซื้อสินค้า เนื่องจากกังวลเรื่องภาษีในช่วงปลายปี แต่หลังไตรมาสสอง ความต้องการอาจชะลอลงเมื่อสต็อกสินค้าสะสมเต็ม ส่งผลให้แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังอาจอ่อนแรงลง



          ปัจจุบันสินค้าจีนขนาดเล็กบางประเภทถูกเก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 54% ขณะที่สินค้าขนาดใหญ่แม้ยังอยู่ระหว่างการเจรจา แต่คาดว่าจะถูกเรียกเก็บภาษีอย่างน้อย 30% ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้อาจเปิดโอกาสให้ไทยได้เปรียบ หากสามารถเจรจาอัตราภาษีในระดับ 15-20% ได้ถือเป็นช่วงระดับที่ดี และระดับ 10% ก็นับว่าต่ำที่สุดแล้ว



           หากไทยได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ดีกว่าคู่แข่งอย่างเวียดนาม ก็อาจหนุนให้การส่งออกในช่วงปลายปีฟื้นตัวขึ้นได้ ช่วงเวลานี้ยังมีความท้าทายจากการที่สินค้าจีนเร่งส่งออกในช่วง 90 วัน ก่อนที่ภาษีใหม่ของสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบ สินค้าเหล่านี้จึงกำลังหาทางออกไปยังตลาดอื่น เช่น ยุโรป อาเซียน และประเทศต่าง ๆ ซึ่งอาจเพิ่มการแข่งขันในตลาดที่ไทยพึ่งพาอยู่



             คาดว่าสหรัฐฯ จะประกาศอัตราภาษีที่ชัดเจนภายใน 1 เดือน ซึ่งจะทำให้การประเมินแนวโน้มการส่งออกช่วงปลายปีมีความแม่นยำมากขึ้น ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากฝั่งสหรัฐฯ ไทยควรมองหาประเทศ “ทางเลือก” สำหรับการส่งออกเพิ่มเติม พร้อมแนะให้ภาครัฐเร่งเจรจาเพื่อให้ได้ข้อตกลงด้านภาษีที่ดีกว่าประเทศคู่แข่ง



           ด้านการท่องเที่ยว เหตุการณ์ลักพาตัวนักท่องเที่ยวจีน และปัจจัยด้านความปลอดภัย ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง โดยเฉพาะกลุ่มทัวร์จีนจากเมืองรองที่หายไปเกือบทั้งหมด แต่นักท่องเที่ยวที่เป็นครอบครัวยังมาอยู่ และนักท่องเที่ยวจากยุโรปเพิ่มขึ้น เป็น 18% แต่ภาพรวมยังต่ำกว่าคาดการณ์



          ปัจจุบันประเทศไทยไม่ได้ครองแชมป์จุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวอีกต่อไป โดยญี่ปุ่นขึ้นนำเป็นจุดหมายอันดับหนึ่ง ขณะที่มาเลเซียกำลังไล่ตามอย่างใกล้ชิด แต่ก็ยังมีความหวังว่าการท่องเที่ยวไทยจะฟื้นตัว โดยเฉพาะจากนักท่องเที่ยวอินเดีย หลังจากสายการบิน AirAsia ปรับแผนมุ่งเปิดเส้นทางบินจากอินเดียมากขึ้น ทดแทนเส้นทางจีนที่ยังไม่ฟื้นเต็มที่ ขณะเดียวกันก็มีความคาดหวังว่านักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาในช่วงปลายปี หากประเทศไทยสามารถฟื้นความเชื่อมั่นได้ การท่องเที่ยวจะมีโอกาสฟื้นตัวและเติบโตอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของปีแนะนำให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณอย่างจำกัดไปในจุดที่สำคัญ เช่น การให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ทำโปรโมชั่นให้ดีขึ้น



          ภาพรวมสะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยยังเปราะบาง ปีนี้ไม่ใช่ปีที่ง่าย และภารกิจสำคัญคือการประคับประคองให้ภาคธุรกิจและประชาชนอยู่รอด พร้อมปรับตัวสู่ยุคใหม่ให้ได้ แต่การลงทุนโดยตรง (Direct Investment) ในประเทศไทยยังคงแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ตัวเลขการลงทุนมีความคึกคักอย่างต่อเนื่อง โดยการประชุมเมื่อเดือนที่แล้วมีเม็ดเงินลงทุนสูงถึง 1 แสนล้านบาท และล่าสุดมีเพิ่มอีก 25,000 ล้านบาท สะท้อนความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างชาติที่ยังอยากเข้ามาลงทุนในไทย จึงควรเร่งส่งเสริมให้ไทยกลายเป็น “บ้านใหม่” และ “พื้นที่ใหม่” สำหรับชาวต่างชาติในการอยู่อาศัยและทำธุรกิจ



          รัฐบาลควรเปิดช่องให้มี ‘อินเซนทีฟ’ หรือสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่นักลงทุนต้องการ พร้อมเร่งรัดกระบวนการอนุมัติและดำเนินโครงการ เพื่อคว้าโอกาสในช่วงที่อาเซียนกำลังเป็นเป้าหมายของโลก เป้าหมายสำคัญของปีนี้ คือการ ‘พยุงตนเองให้รอด’ ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกยังเปราะบาง และให้กำลังใจว่า ‘อย่าถอดใจ เมืองไทยก็ยังไปต่อได้’



 



#เศรษฐกิจปี68



#กอบศักดิ์ภูตระกูล

ข่าวทั้งหมด

X