หลายปัจจัยรุมเร้า เศรษฐกิจไทย! ม.หอการค้า ปรับลด GDPไทยปีนี้เหลือร้อยละ 1.7

วันนี้, 14:44น.


          นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจปี 2568 ลงจากร้อยละ 3 เหลือร้อยละ 1.7 เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีปัจจัยเสี่ยงรุมเร้า ได้แก่ กำแพงภาษีจากสหรัฐ, ความขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่าน, ความตึงเครียดไทย-กัมพูชา, เสถียรภาพรัฐบาล รวมทั้งการผลิตภาคอุตสาหกรรมฟื้นช้า อัตรากำลังการผลิตยังต่ำที่ระดับร้อยละ 65.1 การลงทุนภาคเอกชนติดลบต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 4, การส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังเสี่ยงลดลง เพราะสหรัฐได้เร่งนำเข้าไปล่วงหน้าไปในช่วงครึ่งปีแรกแล้ว, นักท่องเที่ยวต่างชาติลดลง และยังคาดการณ์ว่าหนี้ครัวเรือต่อจีดีพีจะปรับสูงขึ้น เป็นร้อยละ 87.4



          จีดีพีปีนี้ยังมีแนวโน้มที่จะผันผวนจากเป้าหมายร้อยละ 1.7 โดยขึ้นอยู่กับความรุนแรงของปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ โดยแบ่งเป็น 2 กรณี



          1.กรณีที่แย่ที่สุด คือจีดีพีอาจโตลดลงเหลือเพียงร้อยละ 0.9 หากการเมืองไทยไร้เสถียรภาพ โดยนายกรัฐมนตรีตัดสินใจยุบสภา ทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจทำได้แค่ ร้อยละ 25, สหรัฐประกาศเก็บภาษีไทยในร้อยละ 25-30 และชายแดนกัมพูชาตึงเครียดจนต้องปิดด่าน 100% ตลอดปีนี้



          2.กรณีที่ดีที่สุด คาดว่าจีดีพีปีนี้อาจจะเติบโตได้ ร้อยละ 2.3% ซึ่งสูงกว่าคาดการณ์ ของ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย โดยกรณีนี้จะเกิดขึ้นได้นั้น นายกรัฐมนตรีจะต้องอยู่บริหารประเทศจนถึงสิ้นปีนี้ ทำให้สามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้ร้อยละ 75% สหรัฐประกาศเก็บภาษีไทยเพียงร้อยละ 10% รวมทั้งความขัดแย้งไทย-กัมพูชา และสงคราม อิสราเอล-อิหร่าน จบลงเร็ว



          สำหรับข้อเสนอที่ควบคุมไม่ให้เศรษฐกิจไทยผันผวนมาก รัฐบาลจะต้องเร่งเจรจาการค้ากับสหรัฐ, เร่งรัดการเบิกจ่ายงบฯ, ปลดล็อกการให้สินเชื่อ เพราะขณะนี้คือสินเชื่อขยายตัวต่ำกว่าเงินฝาก เนื่องจากธนาคารเข้มงวดการปล่อยกู้ ดังนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยควรจะหารือร่วมกับธนาคารพาณิชย์เพื่อผ่อนเกณฑ์การให้สินเชื่อ โดยเฉพาะสินเชื่อบ้านและรถ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้เดินต่อได้, แก้ไขปัญหาหนี้สินครัวเรือนและการกระตุ้นการลงทุนเอกชน



          นอกจากนั้น ยังมี ผลกระทบของแต่ละปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อจีดีพีไทยว่า กรณีความขัดแย้งไทย-กัมพูชา หากสถานการณ์คลี่คลายเร็วภายใน 1 เดือน การส่งออกไทยจะหายไป 11,659 ล้านบาท ฉุดให้จีดีพีไทยลดลงร้อยละ 0.06 แต่หากขัดแย้งรุนแรงมีการปิดด่านจนถึงสิ้นปีนี้ การส่งออกไทยจะหายไป 69,952 ล้านบาท ฉุดจีดีพีลดลงร้อยละ 0.38



          ส่วนกรณีคลิปเสียงหลุดของนายกรัฐมนตรีได้ประเมินผลกระทบเป็น 3 กรณี คือ 1.หากนายกฯ อยู่ต่อตลอดทั้งปี ใช้งบประมาณได้ต่อเนื่อง และสามารถผ่านแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาทได้ จะทำให้จีดีพี ลดลงร้อยละ 0.06



2.มีนายกฯ คนใหม่พรรคแกนนำเดิม อาจทำให้งบปี 2569 อาจล่าช้าออกไป 2-3 เดือน จีดีพีอาจลดลง ร้อยละ 0.20 และ



3.นายกฯ ยุบสภา อาจทำให้แผนกระตุ้นเศรษฐกิจล่าช้า 3-6 เดือน ต้องเริ่มขบวนการงบประมาณปี 2569 ใหม่ คาดว่าจีดีพีลดลงร้อยละ 0.66



          ส่วนกรณีสงครามอิหร่าน-อิสราเอล แบ่งออกเป็น 3 กรณีเช่นกัน 1.ความขัดแย้งคลี่คลายได้เร็ว จะทำให้จีดีพีลดลงร้อยละ 0.07 2.ความขัดแย้งยืดเยื้อระดับปานกลาง จีดีพีลดลงร้อยละ 0.59 และ 3.ความขัดแย้งบานปลายและรุนแรง อิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุซและเกิดสงครามเต็มรูปแบบในภูมิภาค คาดว่าจะทำให้จีดีพีไทยปรับลดลงร้อยละ 1.07



          ส่วนกรณีการเก็บภาษีตอบโต้ของสหรัฐแบ่งออกเป็น 3 กรณี คือ 1.จัดเก็บอัตราร้อยละ10จะกระทบส่งออก 74,055 ล้านบาท ฉุดจีดีพีลดลงร้อยละ 0.40  2.จัดเก็บภาษีร้อยละ 15-20 กระทบส่งออก 131,806 ล้านบาท ฉุดจีดีพีลงร้อยละ 0.71 และ 3.จัดเก็บภาษีร้อยละ25-30 กระทบส่งออก 201,860 ล้านบาท ฉุดจีดีพีลดลงร้อยละ1.09%



 



 

ข่าวทั้งหมด

X