ศ.ดร.พรายพล เตือนไทย เตรียมรับมือ อิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุช กระทบพลังงานนำเข้า

วันนี้, 07:02น.


          ศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์ นักวิชาการด้านพลังงาน โพสต์ ข้อความเตือนผลกระทบไทย หลังอิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุซ ตอนหนึ่งระบุว่า  ไทยต้องพึ่งพาน้ำมันและก๊าซจากต่างชาติในสัดส่วนมากถึง 46% ของการใช้พลังงานทุกชนิดรวมกัน (น้ำมันนำเข้า 34% และก๊าซนำเข้า 12%) ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นน้ำมันจากภูมิภาคตะวันออกกลาง (แหล่งสำคัญคือ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คูเวต ซาอุดิอาระเบีย และโอมาน) และเป็นน้ำมันที่ขนส่งมาทางเรือผ่านช่องแคบฮอร์มุซ ส่วนก๊าซธรรมชาตินำเข้าจากตะวันออกกลาง ในส่วนของก๊าซธรรมชาติ ไทยนำเข้า LNG จากตะวันออกกลางเป็นสัดส่วนประมาณ 30% ของการนำเข้า LNG ทั้งหมด (25% จากกาตาร์ 5% จากโอมาน) โดยเกือบทั้งหมดต้องขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซ สรุปได้ว่า “อย่างน้อยหนึ่งในสามของพลังงานที่ใช้ในประเทศไทยคือน้ำมันและก๊าซที่ขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซ”



          ปัจจุบัน ประเทศไทยใช้พลังงานจากน้ำมันเป็นสัดส่วนประมาณเกือบ 40% ของพลังงานทั้งหมด และใช้ก๊าซธธรมชาติประมาณเกือบ 30% ของทั้งหมด ในขณะที่ไทยต้องนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศประมาณ 85% ของน้ำมันที่ใช้ทั้งหมด และต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติประมาณ 40% ของก๊าซที่ใช้ทั้งหมด (25% เป็น LNG และอีก 15% เป็นก๊าซผ่านท่อจากเมียนมาร์)



          ดังนั้น การปิดช่องแคบฮอร์มุซจะทำให้ไทยขาดพลังงานไปเป็นจำนวนหนึ่งในสามของพลังงานทั้งหมด ที่จะขาดแคลนมากที่สุดคือน้ำมันเพราะมีสัดส่วนที่ลดลงมากที่สุด แต่ปัญหาคงไม่ใช่เฉพาะไม่มีน้ำมันและก๊าซให้ใช้ได้อย่างเพียงพอเท่านั้น เชื่อกันว่าการปิดช่องแคบนี้จะก่อให้เกิดราคาน้ำมันที่แพงขึ้นเป็นอย่างมากเพราะจะเกิดการขาดแคลนน้ำมันทั่วโลก (supply ลดลงไป 20%) วงการน้ำมันคาดว่าราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกจะพุ่งขึ้นเกิน 100 ดอลลาร์ต่อบาเรลอย่างแน่นอน และอาจขึ้นไปสูงถึง 200 ดอลลาร์ก็เป็นได้



         หากการปิดช่องแคบมีผลเป็นเวลาไม่นานเกินหนึ่งเดือน ไทยก็ยังคงมีน้ำมันเหลือใช้อย่างเพียงพอ โดยอาศัยสต๊อกน้ำมันสำรอง (ซึ่งกระทรวงพลังงานประเมินว่ามีสต๊อกให้ใช้ได้เป็นเวลา 60 วัน) อีกทั้งยังสามารถซื้อน้ำมันจากแหล่งผลิตในประเทศอื่นๆ นอกพื้นที่ตะวันออกกลางได้บ้าง แต่ปัญหาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือราคาน้ำมันที่แพงขึ้นมากและจะทำให้ต้นทุนน้ำมันนำเข้าสูงขึ้นมากเช่นกัน



          หากรัฐบาลไม่ใช้เงินอุดหนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ราคาขายปลีกของน้ำมันก็จะสูงขึ้น และก็จะทำให้ค่าขนส่งและราคาสินค้าต่างๆ สูงขึ้นด้วยจนกลายเป็นปัญหาภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งก็จะเป็นปัญหาที่รุมเร้าซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจถดถอยที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันอยู่แล้ว หากรัฐบาลเลือกใช้การอุดหนุนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ก็ยิ่งจะทำให้กองทุนฯ ติดลบและเป็นหนี้เพิ่มขึ้นไปอีก จากในปัจจุบันที่ติดลบอยู่ประมาณ 36,000 ล้านบาท



          การปิดช่องแคบฮอร์มุซเป็นระยะเวลาหนึ่งก็จะทำให้ปริมาณ LNG จากตะวันออกกลางที่ขนส่งมาไทยขาดแคลนและแพงขึ้นได้เช่นกัน และก็จะมีผลกระทบต่อต้นทุนเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า ทำให้ค่าไฟฟ้าแพงขึ้นได้



          ดังนั้น สถานการณ์การสู้รบและความตึงเครียดระหว่างอิหร่านกับอิสราเอลจึงเป็นสิ่งที่เราต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะหลังจากสหรัฐฯ ได้ส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิดชนิด bunker buster เพื่อทำลายศูนย์พัฒนานิวเคลียร์ 3 แห่งในอิหร่านเมื่อวันที่ 22 มิถุนายนนี้ ยังไม่มีใครรู้ว่าอิหร่านจะตอบโต้สหรัฐฯ หรือไม่อย่างไร และเชื่อกันว่าหนึ่งในทางเลือกของอิหร่านคือการขัดขวางการขนส่งน้ำมันผ่านช่องแคบฮอร์มุซ หากอิหร่านตัดสินใจเลือกทางเลือกนี้และสร้างอุปสรรคในเส้นทางเดินเรือนี้ได้จริง ตลาดน้ำมันคงปั่นป่วนวุ่นวาย และไทยเราคงต้องเตรียมเผชิญกับความยากลำบากด้านพลังงานและเศรษฐกิจอีกรอบหนึ่ง



อ่านฉบับเต็ม :Praipol Koomsup - ช่องแคบฮอร์มุซกับพลังงานไทย... | Facebook  



#ปิดช่องแคบฮอร์มุช



#พลังงานไทย

ข่าวทั้งหมด

X